Tuesday, May 28, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


ยาลดความอ้วน…ทางลัดความผอมที่อันตราย!!

Posted: 27 May 2013 05:00 PM PDT

ยาลดความอ้วน…ทางลัดความผอมที่อันตราย!! (Lisa)

สิ่งแรกที่เราต้องเกริ่นกันก่อน คือ “โรคอ้วน” หรือ “ความอ้วน” เป็นสิ่งที่ต้องใช้การรักษาในระยะยาวเพื่อให้น้ำหนักลดและคงที่ไว้ เช่นเดียวกับในโรคเรื้อรังอื่น ๆ เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง การใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอาจจะเหมาะสำหรับคนบางกลุ่ม ซึ่งในขณะที่ผลข้างเคียงจากการใช้ยาเหล่านี้จะค่อนข้างน้อย แต่ก็เคยมีรายงานอาการแทรกซ้อนอันตรายในภายหลัง ที่ต้องทราบก็คือ ยาพวกนี้ไม่ใช่ทางแก้สำหรับโรคอ้วนทุกประเภท การใช้ยาลดความอ้วนควรจะควบคู่ไปกับการออกกำลังและการเปลี่ยนอาหารการกิน เพื่อให้การลดน้ำหนักนั้นประสบความสำเร็จในระยะยาว

เมื่อไหร่ที่คุณจะต้องการยาลดความอ้วน

เมื่อคุณมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป

เมื่อคุณมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 27 ขึ้นไป แต่มีอาการของโรคอ้วน เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูงร่วมด้วย

รู้จักยาลดความอ้วน

ฤทธิ์ของยาลดความอ้วนประเภทหนึ่ง ก็คือ “กดความอยากอาหาร” ยาเหล่านี้จะมาในรูปของยาเม็ดหรือแคปซูล ซึ่งคุณหมอจะเป็นผู้สั่ง ที่พบได้มากคือ Phentermine จะช่วยลดน้ำหนักโดยการหลอกร่างกายให้เชื่อว่าไม่มีความหิว หรือหลอกว่าอิ่มแล้วด้วยการเพิ่มเซโรโทนิน หรือคาเทโคลามิน สารในสมองซึ่งส่งผลกระทบกับอารมณ์และความอยากอาหาร

อีกประเภทหนึ่งก็คือตัวยาซึ่งจะไปยับยั้งการดูดซึมไขมัน หรือ Orlistat ซึ่งจะทำงานโดยการหยุดยั้งประมาณ 30% ของไขมันทั้งหมดที่เรากินเข้าไปไม่ให้มีการดูดซึมโดยร่างกาย และขับออกไปพร้อมกับอุจจาระ ตัวยาออร์ลิสแตท (ในชื่อการค้าคือ Xenical) นับเป็นยาชนิดเดียวที่ทาง FDA สหรัฐฯ อนุญาตให้ใช้กับการลดน้ำหนักระยะยาว แต่ก็ยังมีการห้ามไม่ให้ใช้นานเกินสองปี

โดยทั่วไปแล้ว ออร์ลิสแตตจะค่อนข้างใช้ได้ผล ทำให้เกิดการลดน้ำหนักประมาณ 12-13 ปอนด์ ภายในระยะเวลาหนึ่งปี หากต้องการจะลดมากกว่านั้นต้องคู่กับการลดน้ำหนักโดยไม่ใช้ยาไปด้วย ส่วนใหญ่แล้วน้ำหนักจะลดได้ภายใน 6 เดือนแรก

ยาลดความอ้วน

ความเสี่ยงของยาลดความอ้วน

ในระยะสั้น สำหรับคนที่เป็นโรคอ้วนแล้ว ยาเหล่านี้จะให้ผลดีต่อสุขภาพ แต่หากใช้เป็นระยะยาวแล้วควรสอบถามแพทย์ถึงความเสี่ยงต่อไปนี้

ติดยา ในปัจจุบัน ยาหลายชนิดยกเว้น Xenical เป็น “สารควบคุม” หมายความว่า แพทย์จำเป็นจะต้องทำตามขั้นตอนบางประการหากจะจ่ายยาให้คุณ เพราะยาตัวนั้นอาจเสพติดได้

ดื้อยา คนส่วนใหญ่มักจะลดน้ำหนักได้ภายใน 6 เดือนแรก ทำให้แพทย์บางคนเชื่อว่าอาจเป็นคนไข้ดื้อยา อย่างไรก็ดี ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นเพราะดื้อยา หรือเพราะยาถึงขีดจำกัดแล้วต่างหาก

ผลข้างเคียงที่ต้องเตรียมตัวรับ

ผลข้างเคียงส่วนใหญ่ของยาลดความอ้วนนั้นค่อนข้างน้อย และมักจะดีขึ้นเมื่อร่างกายของคุณปรับตัวกับยาได้ โดยยาประเภทกดความอยากอาหาร จะมีผลข้างเคียงคือ

กระตุ้นการเต้นของหัวใจ

เพิ่มความดันโลหิต

ท้องผูก

นอนไม่หลับ

คอแห้งอย่างมาก ปากแห้ง

มึนงง ปวดศีรษะ

วิตกกังวล

คัดจมูก

สำหรับยา Orlistat นั้น อาจมีผลข้างเคียง อย่างเช่น ผายลมบ่อย อุจจาระเป็นมัน ถ่ายบ่อย หรือไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะชั่วคราวเท่านั้นและมักจะหายเอง แต่ก็หนักขึ้นได้เช่นกันถ้าคุณกินอาหารไขมันสูง และเพราะยานี้จะลดการดูดซึมไขมัน จึงลดการดูดซึมวิตามินซึ่งละลายในไขมันด้วย ทำให้คุณขาดวิตามินบางประเภทได้

และเนื่องจากยาเหล่านี้ไม่ได้รับคำแนะนำให้ใช้ในระยะยาว จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ใครก็ตามซึ่งพยายามจะลดน้ำหนักควรจะเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เปลี่ยนนิสัยการกิน และออกกำลังให้มากขึ้นในขณะที่กินยานั้น

เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย

คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

lisa

Wednesday, May 8, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


ไขข้อสงสัย ทำไมใส่บรานอนแล้วจึงเสี่ยงมะเร็งเต้านม

Posted: 08 May 2013 04:00 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

เคยได้ยินไหมที่สาว ๆ เตือนกันเองว่า “ไม่ต้องใส่บราหรือเสื้อชั้นในเวลานอน เพราะเดี๋ยวจะทำให้เป็นมะเร็งเต้านม” แล้วคุณรู้ไหมคะว่าทำไมการใส่เสื้อชั้นในตอนนอนถึงทำให้เป็นมะเร็งเต้านมได้ วันนี้กระปุกดอทคอมมาไขความสงสัยให้ได้ทราบกันค่ะ

ในปี 1995 ได้มีหนังสือเล่มหนึ่งตีพิมพ์ออกมาว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการใส่บรากับความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านม หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า “Dressed to Kill” โดยสองนักวิจัยชาวอเมริกัน ซิดนีย์ รอส ซิงเกอร์ และ โซม่า กริสมายเจอร์ กับผลการวิจัยที่สรุปออกมาอย่างน่าตกใจว่า ผู้หญิงที่ใส่บรานานเกินวันละ 12 ชั่วโมง มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่โรคมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้หญิงกลุ่มที่ไม่นิยมใส่เสื้อชั้นในนาน ๆ

งานวิจัยของทั้งสอง ได้ทำการสำรวจจากหญิงอเมริกันราว 4,700 คน ซึ่งครึ่งหนึ่งในกลุ่มนั้นเป็นโรคมะเร็งเต้านม หลังจากได้สอบถามประวัติและพฤติกรรมการใส่เสื้อชั้นในจากคนทั้งสองกลุ่มแล้ว พบว่าสิ่งที่กลุ่มผู้เป็นโรคมะเร็งเต้านมมีเหมือน ๆ กัน คือ ใส่เสื้อชั้นในที่แน่นกระชับ และใส่เป็นจำนวนชั่วโมงที่ยาวนานถึงขนาดใส่แม้กระทั่งเวลานอน อันต่างจากพฤติกรรมของหญิงกลุ่มที่ไม่เป็นมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

แล้วการใส่เสื้อชั้นในด้วยชั่วโมงที่ยาวนาน มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องต่อการเป็นมะเร็งเต้านมอย่างไร? หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายไว้ว่า การใส่เสื้อชั้นในที่ยาวนาน ทำให้หน้าอกถูกบีบรัดกดทับอยู่ตลอด จนต่อมน้ำเหลืองไม่สามารถระบายของเสียที่และสิ่งแปลกปลอมที่ดักจับได้ออกจากร่างกายไป โดยต่อมน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่ดักจับและทำลายเชื้อโรค ซึ่งมีทั้งแบคทีเรีย ไวรัส อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายตามธรรมชาติ และสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ที่ร่างกายไม่ต้องการให้แก่เนื้อเยื่อบริเวณหน้าอกทั้งสองข้างนั้น อยู่บริเวณใต้รักแร้ เมื่อมีทางเดินน้ำเหลืองซึ่งเต็มไปด้วยของเสียถูกกดทับด้วยความโอบกระชับของการใส่บราต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ของเหลวดังกล่าวจึงคั่งอยู่ในจุด ๆ เดียว ก่อให้เกิดอาการบวมน้ำเหลือง เป็นซีสต์ และเกิดอาการปวดระบม รวมทั้งเป็นบ่อเกิดของเซลล์มะเร็ง เพราะเมื่อมีเสื้อชั้นในมากดทับ น้ำเหลืองซึ่งมีสารอนุมูลอิสระอันมีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็ง คั่งค้างอยู่ที่เนื้อเยื่อบริเวณเดียวกันเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดเซลล์มะเร็งขึ้นที่เต้านมได้นั่นเอง

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนผลการวิจัยชิ้นนี้จะเป็นเพียงชิ้นเดียวในแวดวงการแพทย์เท่านั้นที่ยืนยันว่าการสวมเสื้อชั้นในติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ เกิน 12 ชั่วโมง จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้น และยังไม่มีผลการวิจัยอื่น ๆ ที่ยืนยันความเชื่อมโยงเรื่องการใส่บรากับการเป็นมะเร็ง แต่อย่างไรก็ตาม ฟังหูไว้หูเอาไว้ก่อนก็น่าจะเป็นเรื่องดีนะคะ ที่สำคัญการใส่เสื้อชั้นในยามนอนหลับพักผ่อนนี้น่าอึดอัดออกจะตายไป ถ้าอยู่กับบ้านหรือห้องหับที่มิดชิด จะปล่อยให้หน้าอกหน้าใจของเราเป็นอิสระบ้างก็ไม่เห็นเสียหายเนอะ :)

ลดความเสี่ยง..เมื่อต้องฝากท้องไว้กับอาหารริมทาง

Posted: 07 May 2013 05:00 PM PDT

มองข้ามกันไม่ได้เลยนะคะสำหรับอาหารริมทาง หรือที่ฝรั่งเขาให้สมญานามว่า "สตรีท ฟู้ด : Street food" เพราะกลายเป็นจานโปรดของคนส่วนใหญ่ เนื่องจากความรวดเร็ว ง่าย สะดวก อร่อย ราคาสบายกระเป๋า โดยสื่อต่างชาติ อย่าง บีบีซี เคยทำรายงานเกี่ยวกับอาหารริมทางที่ดีที่สุดในกรุงเทพ (The best of Bangkok's Street food) ส่วนซีเอ็นเอ็นก็กล่าวถึงอาหารริมทางในเมืองหลวงของไทยไว้ในเนื้อหาด้านท่องเที่ยวเช่นกัน

แม้อาหารริมทางจะเป็นที่นิยมตามที่กล่าว แต่ก็มีความเสี่ยงต่อสุขภาพมิใช่น้อย เห็นได้จากหลายคนเคยทานอาหารประเภทนี้แล้วท้องเสีย ผู้เขียนคิดว่าเป็นเพราะระบบจัดการควบคุมดูแลที่ไม่สามารถทำได้ 100% ภาครัฐและกทม.ก็ทำหน้าที่ได้แค่ส่งเสริมให้ความรู้ และสุ่มตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งอาจไม่ถึง 5% ของร้านอาหารริมทางที่มีทั้งหมด

เมื่อพึ่งพาใครไม่ได้ จึงเป็นหน้าที่ที่เราเองควรระมัดระวัง มาอ่านทริคดีๆ ในการเลือกทานอาหารริมทางให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพน้อยที่สุดกันดีกว่าค่ะ

“ความสะอาดและสุขลักษณะ” ส่วนใหญ่เป็นร้านเล็กๆ ตั้งแต่รถเข็น หาบเร่ แผงลอย ไปจนถึงใช้รถยนต์ดัดแปรงเป็นครัว ซึ่งง่ายมากที่จะสังเกตความสะอาดค่ะ ดังนั้นก่อนซื้อควรสังเกตว่ามีสุขลักษณะโดยภาพรวมดีหรือไม่ ตั้งแต่การจัดวางวัตถุดิบ อุปกรณ์ ผู้เขียนเองเคยไปรอซื้อโจ๊กหมูข้างทาง ขณะรอซื้อก็เห็นตั้งแต่แมลงวันที่เกาะตามถุงขยะเล็กๆ ของร้าน และบินมาเกาะยังชิ้นส่วนของตับและเครื่องในหลังลวก ไปจนถึงมีดคุณแม่ค้าที่ใช้หั่นของสุกและดิบสลับกันโดยที่ไม่ทำความสะอาดแต่อย่างใด ร้านส้มตำที่คนขายไอค๊อกแค๊ก ใช้ทัพพีตักชิมรสแล้วก็นำทัพพีนั้นไปตักส้มตำใส่ถุงอย่างสบายใจ หรือร้านก๋วยเตี๋ยวน้ำตกที่แช่เลือดสด สารพัดผัก และเนื้อสัตว์ในถังน้ำแข็งที่ใช้เป็นน้ำแข็งให้เราทาน

แต่ละร้านที่กล่าวมา ล้วนแล้วแต่มีสภาพนำพาเชื้อจุลินทรีย์ เชื้อไวรัส ที่ก่อให้เกิดโรคเข้าสู่ร่างกายผ่านอาหารที่เราซื้อทานกัน ดังนั้น แนะเลือกร้านริมทางที่มีการจัดการที่ดี แยกการจัดเก็บของอาหารดิบ-สุก วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้มีความสะอาด ภาพรวมดูปลอดภัยจะดีกว่า

“สุขลักษณะของแม่ค้า-พ่อค้า” อีกเรื่องที่ฝากให้สังเกตคือ แม่ค้า-พ่อค้าผู้ปรุงอาหาร ร้านที่เราควรเลือกซื้อนั้น ควรดูแลสุขลักษณะของตนให้ดี เช่น สวมหมวกหรือเน็ทคลุมผม ป้องกันเส้นผมร่วงหล่นลงสู่อาหาร ใส่ผ้ากันเปื้อนที่สะอาด สวมถุงมือถ้าต้องจับหรือสัมผัสกับอาหารที่ปรุงสุกแล้ว หรือหากอาหารบางประเภท ถ้าใส่ถุงมือแล้วไม่ถนัด ก็ควรมีผ้าเช็ดมือหรือน้ำล้างมือที่สะอาดไว้คอยทำความสะอาดมือ รวมถึงงดนิสัยช่างเม้าท์ พูดไปทำไป เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำลายลงสู่อาหาร ลดการนำพาเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค รวมถึงเชื้อโรคต่างๆ ที่มาจากน้ำลายหรือบาดแผลตามผิวหนัง

“ประเภทของอาหาร” ที่ควรเลี่ยงคือ ปิ้ง ย่าง ทอด อาหารเหล่านี้ เสี่ยงทั้งอันตรายจากสารก่อมะเร็งจากความไหม้เกรียม น้ำมันเก่าใช้ทอดซ้ำ และเสี่ยงเรื่องปริมาณไขมันเกินขนาด จนส่งผลต่อโรคอ้วน โรคหัวใจ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด หากอดใจไม่ไหว ให้เลือกที่ไหม้เกรียมน้อยที่สุด อาหารทอดก็สังเกตน้ำมันที่ใช้ทอดก่อนว่ามีสีคล้ำดำหรือไม่ และอย่าทานบ่อย นอกจากนี้ควรเลี่ยงอาหารสุกๆ ดิบๆ ด้วย

“สีสันและหน้าตาของอาหาร” การไม่มีหน่วยงานมาควบคุมดูแลเรื่องความปลอดภัย จึงเป็นไปได้มากที่พ่อค้า-แม่ค้าบางรายจะมองข้ามและนำสารอันตรายมาใช้กับอาหาร เช่น สีที่ใส่อาหาร แน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นสีผสมอาหารที่ปลอดภัย และใช้ในปริมาณเหมาะสม รวมทั้งการใส่สารเคมีที่ทำให้อาหารคงความสด อย่าง ฟอร์มาลีน ลงในอาหารทะเลและผักสด ดินประสิวที่ใช้เป็นสารกันบูดและยังทำให้สีสันของเนื้อสัตว์น่าทาน ขัณฑสกรหรือน้ำตาลเทียมในกลุ่มอาหารที่ต้องใช้น้ำตาลในปริมาณสูง เช่นพวกน้ำหวาน น้ำผลไม้ ดังนั้นเราจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารริมทางที่สีสันสวยเด่นดูผิดธรรมชาติ น้ำหวานน้ำผลไม้ที่ทานแล้วมีรสขมที่ปลายลิ้น

“ผักที่ใช้” หลายร้านใช้ผักในปริมาณมาก แต่ต้องการความรวดเร็ว จึงขาดจิตสำนึกต่อผู้บริโภค ไม่ล้างผักก่อนนำมาใช้หรือปรุงอาหาร ซึ่งเราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผักส่วนใหญ่มีปริมาณยาฆ่าแมลงและสารเคมีที่ใช้ในการเพาะปลูกปะปนในปริมาณสูง แม้ผักที่ล้างแล้วก็ยังตรวจพบการตกค้างของยาฆ่าแมลงอยู่เลย ดังนั้นถ้าซื้อแล้วได้ผักสดกลับมา ควรนำไปล้างทำความสะอาดก่อนทาน และอีกเรื่องที่ควรสังเกต “ภาชนะบรรจุ” ที่ควรเลี่ยงคือ การใช้ภาชนะโฟม ถุงกระดาษที่มีหมึกพิมพ์มาใส่อาหารร้อนและอาหารที่มีไขมัน เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับสารอันตราย อย่างสารโลหะหนักต่างๆ ได้ง่ายๆ

อ่านดูแล้วบางท่านอาจเห็นเป็นเรื่องลำบากว่า จะซื้ออาหารริมทางทั้งที ทำไมต้องยุ่งยาก สังเกตมากมายเพียงนี้ อย่าลืมว่า ร่างกายเรามีต้นทุนสูงนะคะ จะทานอะไรทั้งทีก็ควรเลือกสิ่งดีๆ มีอันตรายน้อยที่สุด สารพิษบางชนิดใช้เวลาสะสมในร่างกายนาน กว่าจะเกิดโรคให้ทราบก็สายเกินแก้ ส่วนใครคิดแค่ว่าทานไปเถอะ ขี้เกียจจะมาเลือก ก็ไม่ว่าอะไรค่ะ เพราะ You are what you eat ทานอะไรก็เป็นแบบนั้น อยากมีสุขภาพดี ต้องรู้จักเลือกที่จะทาน

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

Tuesday, May 7, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


มะกันชี้ ดื่มน้ำอัดลมไดเอต 4 กระป๋องต่อวัน เสี่ยงภาวะซึมเศร้า

Posted: 06 May 2013 05:00 PM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ผลจากวิจัยจากอเมริกาชี้ ดื่มน้ำอัดลมไดเอต หรือน้ำผลไม้ที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล มากกว่า 4 กระป๋องต่อวัน เสี่ยงเกิดโรคซึมเศร้า ระบุ ดื่มกาแฟ 4 ถ้วยต่อวัน ช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้

ใครที่ชอบดื่มน้ำอัดลมวันละหลายกระป๋องต้องฟังทางนี้เลย เพราะทางสำนักข่าวบีบีซี ของอังกฤษ ได้เปิดเผยข้อมูลงานวิจัยของสหรัฐอเมริกา ที่สำรวจจากคนกว่า 250,000 คน พบว่า กลุ่มผู้ที่บริโภคเครื่องดื่มที่มีสารให้ความหวานแทนน้ำตาลนั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้า

โดยงานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่า ผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้ที่ใช้สารความหวานแทนน้ำตาล เช่น โค้กไดเอต ถึง 4 กระป๋อง หรือ 4 แก้วต่อวันนั้น เสี่ยงที่จะก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าจากคนปกติ ขณะที่การดื่มกาแฟนั้น แทบจะไม่ก่อให้เกิดโรคซึมเศร้าเลย โดยจากการสำรวจเป็นระยะเวลา 10 ปีพบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟ 4 ถ้วยต่อวัน มีโอกาสเกิดโรคซึมเศร้าน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกาแฟถึง 10 เปอร์เซ็นต์

สำหรับการวิจัยที่กำลังจะถูกนำเสนอในงานประชุมประจำปีของสถาบันการศึกษาด้านประสาทวิทยาของอเมริกา โดย ดร.เฉินหงเล่ย หัวหน้าทีมวิจัย จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติในแคลิฟอร์เนียเหนือ ระบุว่า ผลการวิจัยนี้มุ่งที่จะได้เห็นการลดลงของเครื่องดื่มที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือ มีการนำกาแฟที่ไร้รสหวานซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะโรคซึมเศร้าได้ มาวางจำหน่ายแทน

น้ำอัดลม

นอกจากนี้ ดร.เฉิน ยังเผยว่า ในการวิจัยนี้ยังคงต้องมีการค้นคว้าศึกษาเพิ่มเติม เพราะยังขาดหลักฐานที่แน่ชัด แม้จะมีงานวิจัยชิ้นอื่นที่มีผลสนับสนุนงานวิจัยในครั้งนี้ก็ตาม ส่วนในด้านความปลอดภัยของสารให้ความหวาน อย่างเช่น แอสปาร์แตม นั้น ยังคงต้องได้รับการทดสอบโดยนักวิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวาง และต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่กำกับดูแล

ด้าน เกย์นอร์ บุสเซลล์ จากสมาคมโภชนาการของอังกฤษ เผยว่า สารให้ความหวานเหล่านี้ ยังคงเป็นที่ไม่มั่นใจในความปลอดภัย จึงต้องทดสอบอย่างกว้างขวางอีกครั้ง และพิจารณาถึงความปลอดภัย ทั้งยังต้องได้รับการบันทึกการติดตามด้านความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมจากร้านค้าต่าง ๆ ด้วย

นอกจากนี้ เกย์นอร์ ยังบอกอีกว่า การวิจัยดังกล่าวยังเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ และนั่นทำให้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า สารให้ความหวานเหล่านี้เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะโรคซึมเศร้า ทั้งยังพูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ดังนี้

“เริ่มแรกเลย พวกคนที่กำลังทรมานจากโรคซึมเศร้า อาจจะเกิดความคิดว่าสารให้ความหวานเป็นสาเหตุของโรค ซึ่งจะทำให้พวกเขาเกิดอคติต่อเครื่องดื่มที่ใส่สารให้ความหวาน ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้า นอกจากนี้ก็อาจรวมถึงเครื่องดื่มไดเอตทั้งหลายของกลุ่มคนที่เป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวานด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้วสารให้ความหวานที่ไม่ได้ถูกทำให้ร้อนนั้น มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับกลุ่มผู้ที่พยายามจะลดน้ำหนักและผู้ที่เป็นเบาหวาน แน่นอนว่าเราไม่ได้สนับสนุนให้ประชาชนต้องหันมาดื่มกาแฟมากขึ้นแทนการดื่มน้ำอัดลมไดเอต”

Wednesday, May 1, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


สีของผม…สะท้อนสุขภาพของเธอ

Posted: 30 Apr 2013 05:00 PM PDT

สีของผม…สะท้อนสุขภาพของเธอ (ไทยโพสต์)

เส้นผมคือสิ่งที่สะดุดตาที่สุดในตัวคนเรา เราหลายคนจึงหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา แต่ถึงแม้คนเราจะใช้เวลามากมายไปกับการเสริมแต่งผม แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งซึ่งน่าสนใจทีเดียว ที่พวกเราอาจไม่รู้ว่า ภายใต้ความเงางามและสีสันของเส้นผมนั้นก็เป็นตัวชี้วัดถึงสุขภาพได้เหมือนกัน

หากว่าคุณผมสีบลอนด์…

ปกป้องดวงตาของคุณ

ผู้หญิงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งอาจทำให้ตาบอดมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงผมสีอ่อน การบริโภคสารประกอบธรรมชาติอย่างลูทีนและซีแซนธีน ซึ่งพบในกะหล่ำเขียว ผักโขม และถั่วลันเตา จะช่วยป้องกันโรคได้ คุณควรกินผักสีเขียวอย่างน้อย 1 ถ้วยทุก ๆ วัน และการกินสลัดนั้นคือวิธีที่ดีที่จะทำให้คุณกินผักได้เพียงพอ

ปกปิดผิวกาย

เมลานีนคือเม็ดสีผิวซึ่งช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี ผู้หญิงผมบลอนด์นั้นผลิตเมลานีนได้น้อยกว่า ทำให้ผิวของพวกเธอ โดยเฉพาะบริเวณหนังศีรษะมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งเมลาโนมา ควรใช้ครีมกันแดดเอสพีเอฟ 30 ที่ช่วยปกป้องสูงสุดจากรังสียูวีเอและยูวีบี และสวมหมวกทุกครั้งที่ออกไปเผชิญกับแสงแดดโดยตรง

หากว่าคุณผมสีเข้ม…

จงห่วงผมของคุณ

ผู้หญิงอเมริกันกว่าครึ่งจาก 30 ล้านคนที่มีปัญหาผมร่วงนั้นมีผมสีเข้ม นั่นอาจเป็นเพราะว่าพวกเธอมีผมที่บางกว่า ผมสีน้ำตาลมีความหยาบและหนากว่าสีบลอนด์หรือแดง ร่างกายจึงผลิตเส้นผมน้อยลง ดังนั้น เมื่อรูขุมขนเริ่มฝ่อตัว จึงทำให้มองเห็นรอยผมแหว่งได้ชัดเจน การมีธาตุเหล็กต่ำนั้นเกี่ยวข้องกับผมร่วง คุณควรกินธาตุเหล็ก 18 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งข้าวโอ๊ต 1 ถ้วย จะช่วยเติมเต็มในส่วนนี้ได้

เลิกสูบบุหรี่ซะ

ผมสีเข้มนั้นเกิดจากการมีเมลานีนมาก และนั่นอาจทำให้คุณติดนิโคตินง่ายขึ้น เนื่องจากเมลานีนทำให้ตับกำจัดสารเสพติดได้ช้าลง และยิ่งสารตกค้างอยู่ในร่างกายคุณนานเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเสพติดเร็วขึ้นเท่านั้น วิตามินซีช่วยให้ตับมีสุขภาพดี คุณจึงควรกินวิตามินซีวันละ 75 มิลลิกรัมในรูปของพริกแดงครึ่งถ้วยหรือส้มขนาดกลางหนึ่งลูก แต่แน่นอนว่าวิธีที่ดีที่สุดคือไม่ต้องหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีก

หากว่าคุณผมสีแดง…

ยังไม่ค่อยชา

ผู้หญิงผมแดงมีดีเอ็นเอกลายพันธุ์ซึ่งได้รับสืบทอดทางพันธุกรรม ทำให้พวกเธอทนทานต่อสารระงับความรู้สึกทั้งแบบทั่วไปและแบบท้องถิ่น สาวผมแดงนั้นอาจต้องรับยาชามากกว่าสาวผมบลอนด์หรือผมเข้มถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ได้ผลเท่ากัน ครั้งหน้าที่คุณไปหาหมอฟัน คุยกับหมอก่อนเรื่องการระงับปวดก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ หรือกินยาแก้ปวด 500 มิลลิกรัมก่อนออกจากบ้าน

ระวังโรคพาร์กินสัน

ผลวิจัยจากฮาร์วาร์ดเผยว่า คนที่มีผมสีแดงมีโอกาสถึงเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นโรคพาร์กินสัน ทำไมน่ะเหรอ อาจเพราะการกลายพันธุ์ของยีนแบบเดียวกันนั่นแหละ มันมีผลกระทบต่อยีนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเมื่อกลายพันธุ์แล้วจะสามารถมีความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน กรดโฟลิกนั้นอาจช่วยชะลอการลุกลามของโรค คุณควรกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน โดยกินในรูปของวิตามินรวมก็ได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ไทยโพสต์