Sunday, June 23, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


10 เหตุผลที่ต้องเลี่ยงอาหารดัดแปลงพันธุกรรม GMOs

Posted: 21 Jun 2013 05:00 PM PDT

เรื่องของพืชดัดแปลงพันธุกรรมที่ถกกันมายาวนาน ผู้นิยมก็จะให้เหตุผลว่า เมื่อนำวัตถุดิบที่มากมายไปเป็นอาหารก็จะแก้ปัญหาความยากคนจน และสร้างผลประโยชน์ให้แก่เกษตรกร แถมยังไม่บ่งชี้อันตรายชัดแจ้ง แล้วฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยควรจะเตรียมเหตุผลซักค้านอย่างไรดี

10 เหตุผลสำคัญในการโต้เถียง เพื่อจะเลี่ยงการใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) ผ่านหนังสือขายดีของ เจฟฟรีย์ สมิธ (Jeffrey Smith) จากสถาบันการใช้เทคโนโลยีอย่างมีความรับผิดชอบ “ไออาร์ที” (The Institute for Responsible Technology : IRT) ไปดูกันว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านจีเอ็มโอได้แนะนำให้เราตอบโต้อย่างไรบ้าง

1. สิ่งที่ตัดแต่งพันธุกรรมไม่ดีต่อสุขภาพ

สถาบันอนามัยสิ่งแวดล้อมอเมริกัน (American Academy of Environmental Medicine : AAEM) ได้ขอให้แพทย์สั่งอาหารปลอดจีเอ็มโอให้แก่ผู้ป่วย โดยอ้างถึงการทดลองในสัตว์ที่แสดงให้เห็นว่า การบริโภคอาหารจีเอ็มทำลายอวัยวะภายใน ทำให้ระบบทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกันบกพร่อง อีกทั้งยังเร่งอายุ และเกิดภาวะการมีบุตรยาก

นอกจากนี้ผลการศึกษาในมนุษย์ก็ยังชี้ให้เห็นว่า อาหารจีเอ็มที่บริโภคเข้าไปนั้น อาจมีวัตถุแปลกปลอมหลงเหลือไว้ในร่างกาย และจะเกิดปัญหาในระยะยาว ซึ่งเคยพบสารพิษฆ่าแมลงจากข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรมในเลือดของหญิงมีครรภ์ และยังพบสารเดียวกันนี้ที่ทารกในครรภ์ของพวกเธออีกด้วย

ปัญหาสุขภาพจำนวนมาก ปรากฎเพิ่มขึ้นหลังจากเทคนิคการตัดต่อพันธุกรรมสิ่งมีชีวิตได้นำมาใช้ตั้งแต่ปี 1996 หลังจากนั้น ชาวอเมริกันเกิดอาการเจ็บป่วยเรื้อรังเพิ่มขึ้นจากเดิม 7% เป็น 13% ในระยะเวลาเพียง 9 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพ้อาหารที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงอาการผิดปกติอื่นๆ เช่น ออทิสติก ปัญหาการสืบพันธุ์ และการย่อยอาหาร

แม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาชี้ว่า ต้นเหตุของอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นมาจากอาหารตัดต่อพันธุกรรม แต่ทีมแพทย์จาก AAEM ก็ไม่รีรอผลสรุป พวกเขาต้องการให้เราเริ่มปกป้องตัวเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่เสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากอาหารมากกว่าผู้ใหญ่

นอกจากนี้ สมาคมสาธารณสุขอเมริกัน (American Public Health Association) และ สมาคมพยาบาลอเมริกัน (American Nurses Association) ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ กลุ่มที่ออกมาประนามการใช้จีเอ็มโอเพื่อสร้างโกรว์ธฮอร์โมนในวัว เพราะทำให้ได้นมที่มีฮอร์โมน IGF-1 มากเกินไป ซึ่งฮอร์โมน IGF-1 นี้เกี่ยวข้องกับมะเร็งในร่างกายมนุษย์

2. จีเอ็มโอทำพันธุกรรม “ปนเปื้อน” ตลอดกาล

ละอองเรณูและเมล็ดของพืชตัดต่อพันธุกรรมสามารถปลิวไปปะปนกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำความสะอาด จนไม่เกิดการปนเปื้อนในระบบดับยีน ซึ่งการแพร่พันธุ์ด้วยตัวพืชชนิดนั้นๆ จะเกิดขึ้น และมลพิษดังกล่าวจะอยู่ยาวนานทนทานกว่าภาวะโลกร้อน หรือกากนิวเคลียร์ ดังนั้นผลเสียจะเกิดขึ้นต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในอนาคต เพราะการปนเปื้อนของพืชจีเอ็ม จะส่งผลต่อการเกษตรอินทรีย์และการเกษตรกรที่ไม่ต้องการพืชจีเอ็มโอ นั่นจะกระทบถึงเศรษฐกิจโลกโดยตรง

3. การเกษตรจีเอ็มโอเพิ่มการใช้ยาฆ่าหญ้า

พืชจีเอ็มที่พัฒนาขึ้นมาส่วนใหญ่ก็เพื่อให้ทนทานต่อการใช้สารกำจัดวัชพืช อย่างเช่น มอนซานโต้ ที่จำหน่ายพืชราวน์ดอัพ เรดี (Roundup Ready crops) ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อให้อยู่รอดจากสารฆ่าวัชพืชยี่ห้อเดียวกัน

ในช่วงปี 1996 – 2008 เกษตรกรสหรัฐฯ ฉีดสารฆ่าวัชพืชในแปลงปลูกพืชจีเอ็มเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบถึง 2 แสนตัน ที่เกิดการใช้มากเกินไปเช่นนี้ก็เพราะพืชจีเอ็มที่ต้านทานสารฆ่าหญ้าของราวนด์อัพ ทำให้เกษตรกรกล้าฉีดสารเหล่านี้หนักขึ้นเพื่อกำจัดวัชพืชให้หมดเกลี้ยง

การใส่สารกำจัดวัชพืชมากมายกว่าเดิม ไม่ใช่แค่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงตกค้างในพืชต่างๆ ดังนั้นเมื่อนำมาปรุงอาหาร สารเหล่านี้ก็ติดตามมาด้วยในจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่อฮอร์โมน ระบบการสืบพันธุ์ และมะเร็งตามมาในที่สุด

4. พันธุวิศวกรรมสร้างผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย

ด้วยการผสมยีนจากสายพันธุ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน โดยไม่คำนึงถึงประเภทของยีนที่นำมาใส่ในสิ่งมีชีวิตอีกชนิด รวมทั้งกระบวนการแทรกยีนเข้าแทนที่ อาจสร้างสารพิษชนิดใหม่ หรือสารก่อภูมิแพ้ สารก่อมะเร็ง และภาวะการขาดสารอาหาร

5. การกำกับดูแลของรัฐบาลหละหลวมเป็นอันตราย

รัฐบาลส่วนใหญ่เพิกเฉยต่อประเด็นความเสี่ยงด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของจีเอ็มโอ ไม่ว่าจะเป็นข้อบังคับหรือกฎหมายที่ไม่เท่าทัน นั่นอาจเป็นเพราะเหตุผลด้านการเมือง

อย่างองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (US Food and Drug Administration : FDA) ก็ไม่ได้เรียกหาผลการศึกษาทางด้านความปลอดภัยของอาหารจีเอ็ม หรือแม้แต่การบังคับให้ติดฉลาก แต่ปล่อยให้ผู้ผลิตอาหารจีเอ็มต่างๆ สามารถวางขายได้ ซึ่งทางเอฟดีเอเห็นว่า ยังไม่มีข้อมูลมากพอที่จะชี้ว่า อาหารจีเอ็มนั้นต่างจากอาหารปลอดจีเอ็ม หรืออินทรีย์อย่างไร

อย่างไรก็ดี แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ของเอฟดีเอเอง ก็ยังบอกว่า อาหารจีเอ็มนั้นสามารถก่อผลที่ไม่อาจคาดเดาได้ รวมทั้งยังยากที่จะตรวจสอบผลข้างเคียง แม้พวกเขาจะถกเถียงและศึกษาถึงผลความปลอดภัยในระยะยาว แต่ทางทำเนียบขาวมีนโยบายส่งเสริมเทคโนโลยีชีวภาพ ที่มีบริษัทพัฒนาเมล็ดพันธุ์ขนาดใหญ่หนุนหลัง จึงทำให้เอฟดีเอสนับสนุนอาหารจีเอ็ม

6. ใช้กลวิธีเดียวกับ “วิทยาศาสตร์ยาสูบ” ย้ำความปลอดภัย

บริษัท เทคโนโลยีชีวภาพบอกชาวโลกว่า ฝนเหลือง (Orange Agent), พีซีบี (PCBs) และยาฆ่าแมลง (ดีดีที) มีความปลอดภัย โดยพูดแบบผิวเผิน ใช้อุบายเป็นงานวิจัย เหมือนเช่นที่กลุ่มอุตสาหกรรมยาสูบทำ โดยตั้งกองทุนศึกษาเรื่องของจีเอ็มโอ แสดงถึงผลดี ออกแบบงานวิจัยที่หลีกเลี่ยงการค้นหาปัญหา หรือผลไม่พึงประสงค์ของการพัฒนาพืชตัดต่อพันธุกรรม ทั้งหมดเพื่อจะทำให้เราเชื่อว่า จีเอ็มโอมีความปลอดภัย

7. การวิจัยและรายงานอิสระถูกโจมตี

นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบปัญหาเกี่ยวกับการตัดแต่งพันธุกรรมได้ถูกโจมตี ขมขู่ และปฏิเสธการให้ทุน แม้แต่วารสารเนเจอร์เองก็ยอมรับว่า มีอุปสรรคขนาดใหญ่ขวางกั้นนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ทั้งการใส่ร้ายป้ายสีงานวิจัย และทำให้เสียชื่อเสียง เล่นพรรคเล่นพวก ซึ่งการใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลเหล่านี้ ไม่ช่วยให้เกิดความก้าวหน้าในทางวิชาการ อีกทั้งสื่อที่จะเข้าไปเผยแพร่ปัญหาเหล่านี้ก็ยังถูกเซ็นเซอร์อีกด้วยซ้ำ

8. การตัดแต่งพันธุกรรมเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

พืชจีเอ็มและสารเคมีกำจัดวัชพืชที่เกี่ยวข้องนั้น เป็นอันตรายต่อ นก แมลง สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ รวมถึงระบบนิเวศทางทะเล และสิ่งมีชีวิตในดิน การทำเช่นนี้ลดความหลากหลายทางชีวภาพ, ก่อให้เกิดมลพิษในแหล่งน้ำ และไม่ยั่งยืน

ตัวอย่างเช่น พืชจีเอ็มได้กำจัดแหล่งที่อยู่อาศัยของผีเสื้อจักรพรรดิ ซึ่งทำให้จำนวนประชากรของผีเสื้อดังกล่าวลดลง 50% ในสหรัฐฯ นอกจากนี้ สารกำจัดวัชพืชราวนด์อัพยังถูกชี้ว่า เป็นต้นเหตุให้เกิดความผิดปกติของการสืบพันธุ์สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็นตัวอ่อนตายและต่อมไร้ท่อหยุดชะงัก

ยังมีความเสียหายในอวัยวะสัตว์ ที่แม้จะมีปริมาณที่ต่ำมาก เช่น มีการพบคาโนลาตัดต่อพันธุกรรมในป่าที่นอร์ท ดาโกตา และแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมียีนทนสารฆ่าวัชพืชปนเปื้อน

9. จีเอ็มโอไม่เพิ่มผลผลิต และไม่ช่วยแก้ปัญหาปากท้อง

ในขณะที่การเกษตรยั่งยืนแบบปลอดจีเอ็มโอในประเทศกำลังพัฒนามีผลแน่ชัดว่า ผลผลิตเพิ่มขึ้น 79% และสูงกว่าการปลูกพืชจีเอ็ม ซึ่งเป็นข้อมูลจากกลุ่มสหภาพนักวิทยาศาสตร์ผู้มีความห่วงใยต่อสังคม (Union of Concerned Scientists) เมื่อปี 2009 ที่ได้รายงานถึงความล้มเหลวของผลผลิตพืชจีเอ็ม

นอกจากนี้ รายงานของกลุ่มการประเมินความรู้ทางการเกษตร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาสากล (International Assessment of Agricultural Knowledge, Science and Technology for Development : IAASTD) ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ร่วมกันเขียนกว่า 400 คน จากการสนับสนุนของรัฐบาลอีก 58 ประเทศ ยืนยันว่า พืชจีเอ็มมีผลผลิตสูงในบางกรณี และในบางกรณีก็มีผลผลิตลดลง

รายงานฉบับดังกล่าว ระบุว่า การประเมินเทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรมนั้นล่าช้า ยังขาดเรื่องการพัฒนาข้อมูล และความขัดแย้ง รวมถึงความผลประโยชน์ที่ไม่ชัดเจน และความเสียหายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยในรายงานฉบับนั้น เชื่อว่า เทคโนโลยีจีเอ็มโอในปัจจุบัน ยังไม่ใช่ตัวช่วยแก้ลดปัญหาความหิวโหยและขาดอาหาร รวมถึงยังไม่สามารถปรับปรุงสารอาหาร สุขภาพ และชีวิตในชนบทได้ อีกทั้งไม่ได้อำนวยความสะดวกให้แก่สังคม และไม่ได้สร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม

ในทางตรงกันข้าม จีเอ็มโอใช้เงินและทรัพยากรมากยิ่ขึ้น เพื่อสร้างให้เห็นว่าเทคโนโลยีดังกล่าว ปลอดภัย เชื่อถือได้ และมีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้

10. จีเอ็มโอไม่มีประโยขน์ต่อผู้บริโภค

เราสามารถหลีกเลี่ยงจีเอ็มโอได้ โดยการปฏิเสธ ผลักดันให้ออกไปจากห่วงโซ่อาหาร เพราะจีเอ็มโอไม่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค แม้ว่าจะมีการปฏิเสธอยู่น้อยนิด แต่ในที่สุดส่วนผสมที่เป็นจีเอ็มในท้องตลาดก็จะกลายเป็นสิ่งที่ผิด บริษัทอาหารก็จะนำออกไป

ในยุโรป เมื่อปี 1999 หลังจากมีการตีพิมพ์งานวิจัยถึงความผิดพลาดของจีเอ็มโอ ก็ส่งผลให้ประชาชนผู้บริโภค ตื่นตัวกับอันตรายดังกล่าว ขณะที่ในสหรัฐฯ เมื่อมีกรณีการใช้โกรว์ทฮอร์โมนตัดต่อพันธุกรรมในวัว ก็ส่งผลให้เกิดการผลักดันให้เลิกใช้วัวประเภทนี้ผลิตนม โดยมีวอลมาร์ท สตาร์บักส์ ดานนอน และบริษัทผลิตนมส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ร่วมกันผลักดัน

เจฟฟรีย์ สมิท เป็นผู้อำนวยการสถาบันการใช้เทคโนโลยีอย่างมีความรับผิดชอบ และเป็นหนึ่งในผู้นำหลักในการต้านอาหารจีเอ็ม หนังสือของเขา “Seed of Deception” (เมล็ดพันธุ์แห่งการหลอกลวง) จัดอยู่ในอันดับหนึ่งของหนังสือที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ที่สำคัญของประชาชน และแม้กระทั่งการออกกฎหมาย และเขายังได้เขียน “Genetic Roulette” สารคดีความเสี่ยงของอาหารตัดต่อพันธุกรรมต่อสุขภาพอีกด้วย

ที่มา : เว็บไซต์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์

Tuesday, June 11, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


9 ส่วนประกอบในอาหาร ที่นักโภชนาการร้องยี้

Posted: 31 May 2013 10:00 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

อาหารที่เราเข้าใจว่าอุดมไปด้วยสารอาหารและประโยชน์อย่างครบถ้วน บางทีอาจจะไม่ได้ดีต่อสุขภาพอย่างที่เราคิด อย่างเช่นข้อมูลที่เราจะมาบอกกล่าวให้ได้รู้กันในวันนี้ ซึ่งอาจทำให้ทุกคนตกใจกับความรู้ใหม่ที่จะได้รับกันเลยก็เป็นได้

1. โพแทสเซียม เบนโซเอท (Potassium Benzoate)

หลายคนเลือกที่จะดื่มเครื่องดื่มประเภทไดเอตโซดา เพื่อหวังจะช่วยลดแคลอรี่ให้ร่างกายได้ไม่มากก็น้อย แต่แทนที่จะได้รับผลดีต่อสุขภาพอย่างที่ตั้งใจ อาจจะได้รับโพแทสเซียม เบนโซเอท ซึ่งมักจะเป็นส่วนประกอบหนึ่งในเครื่องดื่มประเภทซอฟต์ดริงก์ เช่น น้ำผลไม้แทน เหตุผลที่เราควรเลี่ยงส่วนประกอบนี้ก็เพราะ หากโพแทสเซียม เบนโซเอท ได้เจอเข้ากับวิตามินซีเมื่อไร จะทำปฏิกริยาเคมีและกลายร่างเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่งได้ทันที

2. ข้าวโพด

ข้าวโพดที่ผ่านการดัดแปลงเป็นแป้งข้าวโพด น้ำมันข้าวโพด น้ำตาลเด็กซ์โตรส (dextrose) และมอลโตเด็กซ์ตริน (maltodextrin) จะอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 6 เหมือนจะดูดีใช่ไหมคะ แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดแผลอักเสบ, มะเร็ง และโรคหัวใจได้ หากร่างกายได้รับในปริมาณที่มากเกินไป

นักโภชนาการจึงแนะนำว่า เราควรให้ร่างกายได้รับโอเมก้า 6 และโอเมก้า 3 ในสัดส่วน 1 ต่อ 1 เพื่อปรับระดับกรดไขมันดีที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันให้เหมาะสม เพราะฉะนั้นหากคุณรู้สึกว่าร่างกายได้รับโอเมก้า 6 มากเกินไปจากการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบจำพวกมาการีน น้ำมันพืช และถั่วเหลือง ก็อย่าลืมเติมโอเมก้า 3 ให้ร่างกายด้วยการรับประทานปลาทู ปลากระพง ปลาแซลมอน ไข่ โยเกิร์ต เพื่อปรับสมดุลให้ร่างกายด้วย

3. ถั่วเหลือง

ถั่วเหลืองจัดได้ว่าเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูงเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ มีประโยชน์และราคาก็แสนถูก แต่ถั่วเหลืองก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะถั่วเหลืองที่ผ่านกระบวนการสกัดมาเป็นน้ำมันถั่วเหลือง โปรตีนถั่วเหลือง และถั่วเหลืองสกัดในรูปอื่น ๆ ก็มีส่วนทำให้การเจริญพันธุ์ลดลง สมรรถภาพทางเพศลดลง เร่งการเจริญเติบโตก่อนวัยอันควรในวัยเด็ก อีกทั้งยังมีผลกระทบกับฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิงอีกด้วย นอกจากนี้ถั่วเหลืองยังเป็นสาเหตุให้ระดับโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ในร่างกายของเราปรวนแปร นักโภชนาการจึงแนะนำให้เลือกรับโปรตีนจากถั่วชนิดอื่น ๆ แทนจะปลอดภัยกว่าค่ะ

4. BHA

BHA มีคุณสมบัติช่วยไม่ให้อาหารเหม็นหืน ส่วนมากจึงถูกนำไปใช้ในอาหารที่มีไขมันหรือใช้น้ำมันเป็นส่วนผสม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทขนมอบ อาหารทอดต่าง ๆ มาการีน เนยแข็ง ซึ่งหากร่างกายเราได้รับสารนี้มากเกินไป ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งมากขึ้น นั่นเพราะ BHA เป็นสารก่อมะเร็งอีกตัวหนึ่งเช่นกันค่ะ

5. น้ำมันปาล์ม (Fractionated Palm Kernel Oil)

น้ำมันปาล์มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเราคือ น้ำมันปาล์มที่กลั่นมาจากเนื้อปาล์ม ที่ถูกนำไปใช้เคลือบบนหน้าช็อกโกแลตและลูกอมไม่ให้ละลาย อันตรายของมันก็คือ มีคอเลสเตอรอลชนิด LDL ซึ่งเป็นชนิดที่อันตรายต่อสุขภาพ หากรับเข้าร่างกายมาก ๆ ก็เสี่ยงจะเป็นโรคไขมันในเลือดสูงและโรคอ้วนได้

6. ผงชูรส Monosodium Glutamate (Msg)

แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าหากรับประทานเจ้าผงชูรสมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการผมร่วง รู้สึกอยากอาหารมากกว่าปกติ และยังเสี่ยงเป็นโรคไมเกรนได้ แต่การใช้ชีวิตในสังคมสมัยนี้ก็ทำให้เราไม่มีเวลามากพอที่จะทำอาหารด้วยตัวเอง เราจึงต้องยอมรับสภาพไปวัน ๆ เหมือนเป็นชะตากรรมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นความซื่อสัตย์ของผู้ประกอบการและร้านอาหารที่กล้ายอมรับว่าใช้ผงชูรสเป็นส่วนประกอบหนึ่งในอาหารจึงมีความสำคัญ เพื่อให้คนที่รักสุขภาพจริง ๆ ได้รู้และเลี่ยงได้ และเพื่อความปลอดภัยสำหรับใครที่แพ้เจ้าผงชูรสนี้ด้วยเช่นกัน

7. กลิ่นสังเคราะห์

สารสังเคราะห์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นสังเคราะห์ รสชาติสังเคราะห์ หรืออะไรที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติย่อมไม่ให้คุณค่าทางสารอาหารใด ๆ แก่ร่างกายเราเลย เพราะฉะนั้นหากเลี่ยงได้ก็จะดีกว่าค่ะ อย่างเช่น ลดการดื่มน้ำอัดลมและน้ำผลไม้กระป๋อง แล้วหันมารับประทานน้ำผลไม้ที่คั้นสด ๆ หรือน้ำสมุนไพรแทน ซึ่งจะได้รสชาติที่ดีกว่าและยังได้รับคุณค่าทางสารอาหารมากกว่ากันเยอะเลย

8. โซเดียมไนเตรทและไนไตรท์ (Sodium Nitrate And Nitrite)

แม้โซเดียมไนเตรทและไนไตรท์จะช่วยถนอมอาหารไม่ให้เสีย และช่วยคงสภาพสีของอาหารให้ดูสดอยู่เสมอ ซึ่งส่วนมากจะถูกนำไปใช้ในอาหารประเภท ไส้กรอก เบคอน กุนเชียง ปลาเค็ม แหนม เป็นต้น แต่ส่วนประกอบชนิดนี้มีส่วนช่วยให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโต โดยจากผลวิจัยบอกว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีโซเดียมไนเตรทและไนไตรท์มากกว่าสัปดาห์ละครั้ง จะมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคิเมียมากกว่าคนที่ไม่ค่อยได้รับประทานอาหารประเภทนี้เลย

9. แป้งสาลีเติมสารอาหาร (Enriched Wheat)

ถ้าบนถุงขนมปังที่คุณถืออยู่เขียนว่าโฮลเกรน 100% อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจซื้อค่ะ ให้คุณขยับสายตาอีกนิดแล้วอ่านส่วนประกอบของขนมปังก่อน หากพบว่าส่วนประกอบหลักเป็นแป้งสาลีเติมสารอาหาร (Enriched Wheat) แล้วล่ะก็ ให้คุณวางถุงขนมปังนั้นไว้บนชั้นดังเดิม และเลือกหาขนมปังที่มีส่วนประกอบหลักเป็นแป้งโฮลวีทแทน เพราะแป้งสาลีเติมสารอาหารทำมาจากธัญพืชที่ผ่านการขัดสีและผ่านกระบวนการ ซึ่งเป็นการนำเอาสารอาหารที่มีประโยชน์ออกไปเรียบร้อยแล้ว

เห็นข้อมูลแบบนี้แล้ว ต้องยอมรับว่า อาหารบางอย่างก็เลี่ยงยากเหลือเกิน เพราะฉะนั้นการรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ น่าจะเป็นวิธีที่จะช่วยให้ร่างกายของเราแข็งแรงพอที่จะสู้กับโรคภัยทั้งหลายได้อย่างดีค่ะ

Sunday, June 9, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


มีงี้ด้วย! โรคอ้วนระบาด เหตุหญิงไม่ออกกำลังกาย เพราะกลัวผมเสียทรง

Posted: 10 Apr 2013 01:53 AM PDT

สาวมะกัน-แอฟริกันเลือกทรงผม ไม่ยอมเสียเหงื่อส่งผลอ้วนกระฉูด (ไทยโพสต์)

นักวิจัยชาวแอฟริกัน 2 ใน 5 คนเผยล่าสุดว่า ผู้หญิงชาวอเมริกันมักหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย เพราะความกังวลเกี่ยวกับทรงผม หรือกลัวว่าผมของพวกเธอนั้นจะเสียทรง ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวได้กลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โรคอ้วนกำลังระบาดในคุณสาว ๆ เมืองมะกัน

ดร.เอ็มมี แมคไมเคิล นักวิจัยอาวุโสและแพทย์ผิวหนังจากโรงเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัย Wake Forest ที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐแคโรไลนา กล่าวว่า “ไม่ใช่แค่ผู้หญิงแอฟริกันเท่านั้น แต่ผู้หญิงในอเมริกาก็ประสบกับปัญหานี้เช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณสาว ๆ ทั้งสองสัญชาตินี้เบื่อหน่ายกับการที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลเส้นผมหรือจัดทรงผมของพวกเธอ รวมถึงเหงื่อที่ถูกขับออกจากร่างกายในระหว่างที่พวกเธอออกกำลังกาย ก็ถือเป็นอีกสาเหตุที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพของประชากรในเมืองที่สุดแสนวิไลนี้”

ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังกล่าวต่อว่า “จากผลสำรวจทั้งผู้หญิงชาวอเมริกาและผู้หญิงชาวแอฟริกัน ในจำนวน 103 คนที่เข้ามารับบริการจากคลินิกในมหาวิทยาลัย Wake Forest ในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2007 พบว่า “มีผู้หญิงมากกว่าครึ่งออกกำลังกายน้อยกว่า 75 นาทีต่อสัปดาห์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน ที่ทางกรมอนามัยและบริหารทรัพยากรมนุษย์ได้กำหนดไว้ เพราะอย่างน้อยต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ละ 150 นาที”

นั่นเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาออกกำลังกายลดน้อยลง ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้หรือในปี 2007 ที่ทางศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคได้สำรวจพบว่า ผู้หญิงชาวอเมริกันออกกำลังมากกว่า 150 นาทีต่อสัปดาห์ และจากการศึกษาใหม่ที่น่าตกใจนั้นได้พบว่า ผู้หญิงชาวอเมริกัน 1 ใน 4 ไม่คิดที่จะออกกำลังกาย และไม่ใช่แค่สาเหตุหลัก อย่างเช่น การเสียเวลา หรือเสียค่าใช้จ่ายจำนวนสูงในการจัดแต่งทรงผม แต่การที่พวกเธอปฏิเสธการอัพแอนด์ดาวน์นั้นเป็นเพราะ “เหงื่อ” จากการออกกำลังกายที่ทำให้ผมของพวกเธอเสียทรงนั่นเอง

สอดคล้องกับเช่นเดียวกับโรเชล มอสลีย์ เจ้าของร้านเสริมสวยที่ตั้งอยู่ในเขตฮาร์เล็มในเมืองนิวยอร์ก ที่ได้เผยผ่านสำนักข่าวรอยเตอร์ เกี่ยวกับสุขภาพของคุณสาว ๆ ชาวอเมริกันและแอฟริกันว่า “โดยปกติลูกค้าจะมาใช้บริการที่ร้านเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อรับบริการยืดผม ในราคา 40 เหรียญฯ ทั้งนี้เนื่องจากลูกค้าไม่ต้องการที่จะล้างหรือสระผมเกินอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพราะกังวลเรื่องทรงผมของพวกเธอจะเสียทรงโดยใช่เหตุ ขณะเดียวกันพวกเธอก็มักจะหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่นำไปสู่การเสียเหงื่อ ซึ่งหลายคนก็อาจสงสัยว่าทำไมคุณสาว ๆ เหล่านี้ไม่เลือกดูแลสุขภาพเส้นผมโดยการตัดผมให้สั้นลง”

อย่างไรก็ตาม แม้คุณสาว ๆ หลายคนมักจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่กล้าออกกำลังกายเพราะกลัวผมเสียทรง โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ที่เคยระบุไว้ว่าอย่างน้อยต้อง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่มีข้อยกเว้นในกรณีที่ทำให้พวกเธอออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องพะวงว่าผมจะเสียทรง เช่น เกิดปัญหาสุขภาพกับหนังศีรษะ หรือมีอาการคันจากรังแค และหน้าที่การงานที่ทำให้พวกเลือกที่จะต้องตัดผมหรือทำผมบ่อย ๆ อยู่แล้ว”

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ไทยโพสต์

Saturday, June 1, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


9 ส่วนประกอบในอาหาร ที่นักโภชนาการร้องยี้

Posted: 31 May 2013 10:00 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

อาหารที่เราเข้าใจว่าอุดมไปด้วยสารอาหารและประโยชน์อย่างครบถ้วน บางทีอาจจะไม่ได้ดีต่อสุขภาพอย่างที่เราคิด อย่างเช่นข้อมูลที่เราจะมาบอกกล่าวให้ได้รู้กันในวันนี้ ซึ่งอาจทำให้ทุกคนตกใจกับความรู้ใหม่ที่จะได้รับกันเลยก็เป็นได้

1. โพแทสเซียม เบนโซเอท (Potassium Benzoate)

หลายคนเลือกที่จะดื่มเครื่องดื่มประเภทไดเอตโซดา เพื่อหวังจะช่วยลดแคลอรี่ให้ร่างกายได้ไม่มากก็น้อย แต่แทนที่จะได้รับผลดีต่อสุขภาพอย่างที่ตั้งใจ อาจจะได้รับโพแทสเซียม เบนโซเอท ซึ่งมักจะเป็นส่วนประกอบหนึ่งในเครื่องดื่มประเภทซอฟต์ดริงก์ เช่น น้ำผลไม้แทน เหตุผลที่เราควรเลี่ยงส่วนประกอบนี้ก็เพราะ หากโพแทสเซียม เบนโซเอท ได้เจอเข้ากับวิตามินซีเมื่อไร จะทำปฏิกริยาเคมีและกลายร่างเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่งได้ทันที

2. ข้าวโพด

ข้าวโพดที่ผ่านการดัดแปลงเป็นแป้งข้าวโพด น้ำมันข้าวโพด น้ำตาลเด็กซ์โตรส (dextrose) และมอลโตเด็กซ์ตริน (maltodextrin) จะอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 6 เหมือนจะดูดีใช่ไหมคะ แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดแผลอักเสบ, มะเร็ง และโรคหัวใจได้ หากร่างกายได้รับในปริมาณที่มากเกินไป

นักโภชนาการจึงแนะนำว่า เราควรให้ร่างกายได้รับโอเมก้า 6 และโอเมก้า 3 ในสัดส่วน 1 ต่อ 1 เพื่อปรับระดับกรดไขมันดีที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันให้เหมาะสม เพราะฉะนั้นหากคุณรู้สึกว่าร่างกายได้รับโอเมก้า 6 มากเกินไปจากการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบจำพวกมาการีน น้ำมันพืช และถั่วเหลือง ก็อย่าลืมเติมโอเมก้า 3 ให้ร่างกายด้วยการรับประทานปลาทู ปลากระพง ปลาแซลมอน ไข่ โยเกิร์ต เพื่อปรับสมดุลให้ร่างกายด้วย

3. ถั่วเหลือง

ถั่วเหลืองจัดได้ว่าเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูงเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ มีประโยชน์และราคาก็แสนถูก แต่ถั่วเหลืองก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะถั่วเหลืองที่ผ่านกระบวนการสกัดมาเป็นน้ำมันถั่วเหลือง โปรตีนถั่วเหลือง และถั่วเหลืองสกัดในรูปอื่น ๆ ก็มีส่วนทำให้การเจริญพันธุ์ลดลง สมรรถภาพทางเพศลดลง เร่งการเจริญเติบโตก่อนวัยอันควรในวัยเด็ก อีกทั้งยังมีผลกระทบกับฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิงอีกด้วย นอกจากนี้ถั่วเหลืองยังเป็นสาเหตุให้ระดับโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ในร่างกายของเราปรวนแปร นักโภชนาการจึงแนะนำให้เลือกรับโปรตีนจากถั่วชนิดอื่น ๆ แทนจะปลอดภัยกว่าค่ะ

4. BHA

BHA มีคุณสมบัติช่วยไม่ให้อาหารเหม็นหืน ส่วนมากจึงถูกนำไปใช้ในอาหารที่มีไขมันหรือใช้น้ำมันเป็นส่วนผสม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทขนมอบ อาหารทอดต่าง ๆ มาการีน เนยแข็ง ซึ่งหากร่างกายเราได้รับสารนี้มากเกินไป ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งมากขึ้น นั่นเพราะ BHA เป็นสารก่อมะเร็งอีกตัวหนึ่งเช่นกันค่ะ

5. น้ำมันปาล์ม (Fractionated Palm Kernel Oil)

น้ำมันปาล์มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเราคือ น้ำมันปาล์มที่กลั่นมาจากเนื้อปาล์ม ที่ถูกนำไปใช้เคลือบบนหน้าช็อกโกแลตและลูกอมไม่ให้ละลาย อันตรายของมันก็คือ มีคอเลสเตอรอลชนิด LDL ซึ่งเป็นชนิดที่อันตรายต่อสุขภาพ หากรับเข้าร่างกายมาก ๆ ก็เสี่ยงจะเป็นโรคไขมันในเลือดสูงและโรคอ้วนได้

6. ผงชูรส Monosodium Glutamate (Msg)

แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าหากรับประทานเจ้าผงชูรสมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการผมร่วง รู้สึกอยากอาหารมากกว่าปกติ และยังเสี่ยงเป็นโรคไมเกรนได้ แต่การใช้ชีวิตในสังคมสมัยนี้ก็ทำให้เราไม่มีเวลามากพอที่จะทำอาหารด้วยตัวเอง เราจึงต้องยอมรับสภาพไปวัน ๆ เหมือนเป็นชะตากรรมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นความซื่อสัตย์ของผู้ประกอบการและร้านอาหารที่กล้ายอมรับว่าใช้ผงชูรสเป็นส่วนประกอบหนึ่งในอาหารจึงมีความสำคัญ เพื่อให้คนที่รักสุขภาพจริง ๆ ได้รู้และเลี่ยงได้ และเพื่อความปลอดภัยสำหรับใครที่แพ้เจ้าผงชูรสนี้ด้วยเช่นกัน

7. กลิ่นสังเคราะห์

สารสังเคราะห์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นสังเคราะห์ รสชาติสังเคราะห์ หรืออะไรที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติย่อมไม่ให้คุณค่าทางสารอาหารใด ๆ แก่ร่างกายเราเลย เพราะฉะนั้นหากเลี่ยงได้ก็จะดีกว่าค่ะ อย่างเช่น ลดการดื่มน้ำอัดลมและน้ำผลไม้กระป๋อง แล้วหันมารับประทานน้ำผลไม้ที่คั้นสด ๆ หรือน้ำสมุนไพรแทน ซึ่งจะได้รสชาติที่ดีกว่าและยังได้รับคุณค่าทางสารอาหารมากกว่ากันเยอะเลย

8. โซเดียมไนเตรทและไนไตรท์ (Sodium Nitrate And Nitrite)

แม้โซเดียมไนเตรทและไนไตรท์จะช่วยถนอมอาหารไม่ให้เสีย และช่วยคงสภาพสีของอาหารให้ดูสดอยู่เสมอ ซึ่งส่วนมากจะถูกนำไปใช้ในอาหารประเภท ไส้กรอก เบคอน กุนเชียง ปลาเค็ม แหนม เป็นต้น แต่ส่วนประกอบชนิดนี้มีส่วนช่วยให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโต โดยจากผลวิจัยบอกว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีโซเดียมไนเตรทและไนไตรท์มากกว่าสัปดาห์ละครั้ง จะมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคิเมียมากกว่าคนที่ไม่ค่อยได้รับประทานอาหารประเภทนี้เลย

9. แป้งสาลีเติมสารอาหาร (Enriched Wheat)

ถ้าบนถุงขนมปังที่คุณถืออยู่เขียนว่าโฮลเกรน 100% อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจซื้อค่ะ ให้คุณขยับสายตาอีกนิดแล้วอ่านส่วนประกอบของขนมปังก่อน หากพบว่าส่วนประกอบหลักเป็นแป้งสาลีเติมสารอาหาร (Enriched Wheat) แล้วล่ะก็ ให้คุณวางถุงขนมปังนั้นไว้บนชั้นดังเดิม และเลือกหาขนมปังที่มีส่วนประกอบหลักเป็นแป้งโฮลวีทแทน เพราะแป้งสาลีเติมสารอาหารทำมาจากธัญพืชที่ผ่านการขัดสีและผ่านกระบวนการ ซึ่งเป็นการนำเอาสารอาหารที่มีประโยชน์ออกไปเรียบร้อยแล้ว

เห็นข้อมูลแบบนี้แล้ว ต้องยอมรับว่า อาหารบางอย่างก็เลี่ยงยากเหลือเกิน เพราะฉะนั้นการรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ น่าจะเป็นวิธีที่จะช่วยให้ร่างกายของเราแข็งแรงพอที่จะสู้กับโรคภัยทั้งหลายได้อย่างดีค่ะ

Tuesday, May 28, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


ยาลดความอ้วน…ทางลัดความผอมที่อันตราย!!

Posted: 27 May 2013 05:00 PM PDT

ยาลดความอ้วน…ทางลัดความผอมที่อันตราย!! (Lisa)

สิ่งแรกที่เราต้องเกริ่นกันก่อน คือ “โรคอ้วน” หรือ “ความอ้วน” เป็นสิ่งที่ต้องใช้การรักษาในระยะยาวเพื่อให้น้ำหนักลดและคงที่ไว้ เช่นเดียวกับในโรคเรื้อรังอื่น ๆ เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง การใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอาจจะเหมาะสำหรับคนบางกลุ่ม ซึ่งในขณะที่ผลข้างเคียงจากการใช้ยาเหล่านี้จะค่อนข้างน้อย แต่ก็เคยมีรายงานอาการแทรกซ้อนอันตรายในภายหลัง ที่ต้องทราบก็คือ ยาพวกนี้ไม่ใช่ทางแก้สำหรับโรคอ้วนทุกประเภท การใช้ยาลดความอ้วนควรจะควบคู่ไปกับการออกกำลังและการเปลี่ยนอาหารการกิน เพื่อให้การลดน้ำหนักนั้นประสบความสำเร็จในระยะยาว

เมื่อไหร่ที่คุณจะต้องการยาลดความอ้วน

เมื่อคุณมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป

เมื่อคุณมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 27 ขึ้นไป แต่มีอาการของโรคอ้วน เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูงร่วมด้วย

รู้จักยาลดความอ้วน

ฤทธิ์ของยาลดความอ้วนประเภทหนึ่ง ก็คือ “กดความอยากอาหาร” ยาเหล่านี้จะมาในรูปของยาเม็ดหรือแคปซูล ซึ่งคุณหมอจะเป็นผู้สั่ง ที่พบได้มากคือ Phentermine จะช่วยลดน้ำหนักโดยการหลอกร่างกายให้เชื่อว่าไม่มีความหิว หรือหลอกว่าอิ่มแล้วด้วยการเพิ่มเซโรโทนิน หรือคาเทโคลามิน สารในสมองซึ่งส่งผลกระทบกับอารมณ์และความอยากอาหาร

อีกประเภทหนึ่งก็คือตัวยาซึ่งจะไปยับยั้งการดูดซึมไขมัน หรือ Orlistat ซึ่งจะทำงานโดยการหยุดยั้งประมาณ 30% ของไขมันทั้งหมดที่เรากินเข้าไปไม่ให้มีการดูดซึมโดยร่างกาย และขับออกไปพร้อมกับอุจจาระ ตัวยาออร์ลิสแตท (ในชื่อการค้าคือ Xenical) นับเป็นยาชนิดเดียวที่ทาง FDA สหรัฐฯ อนุญาตให้ใช้กับการลดน้ำหนักระยะยาว แต่ก็ยังมีการห้ามไม่ให้ใช้นานเกินสองปี

โดยทั่วไปแล้ว ออร์ลิสแตตจะค่อนข้างใช้ได้ผล ทำให้เกิดการลดน้ำหนักประมาณ 12-13 ปอนด์ ภายในระยะเวลาหนึ่งปี หากต้องการจะลดมากกว่านั้นต้องคู่กับการลดน้ำหนักโดยไม่ใช้ยาไปด้วย ส่วนใหญ่แล้วน้ำหนักจะลดได้ภายใน 6 เดือนแรก

ยาลดความอ้วน

ความเสี่ยงของยาลดความอ้วน

ในระยะสั้น สำหรับคนที่เป็นโรคอ้วนแล้ว ยาเหล่านี้จะให้ผลดีต่อสุขภาพ แต่หากใช้เป็นระยะยาวแล้วควรสอบถามแพทย์ถึงความเสี่ยงต่อไปนี้

ติดยา ในปัจจุบัน ยาหลายชนิดยกเว้น Xenical เป็น “สารควบคุม” หมายความว่า แพทย์จำเป็นจะต้องทำตามขั้นตอนบางประการหากจะจ่ายยาให้คุณ เพราะยาตัวนั้นอาจเสพติดได้

ดื้อยา คนส่วนใหญ่มักจะลดน้ำหนักได้ภายใน 6 เดือนแรก ทำให้แพทย์บางคนเชื่อว่าอาจเป็นคนไข้ดื้อยา อย่างไรก็ดี ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นเพราะดื้อยา หรือเพราะยาถึงขีดจำกัดแล้วต่างหาก

ผลข้างเคียงที่ต้องเตรียมตัวรับ

ผลข้างเคียงส่วนใหญ่ของยาลดความอ้วนนั้นค่อนข้างน้อย และมักจะดีขึ้นเมื่อร่างกายของคุณปรับตัวกับยาได้ โดยยาประเภทกดความอยากอาหาร จะมีผลข้างเคียงคือ

กระตุ้นการเต้นของหัวใจ

เพิ่มความดันโลหิต

ท้องผูก

นอนไม่หลับ

คอแห้งอย่างมาก ปากแห้ง

มึนงง ปวดศีรษะ

วิตกกังวล

คัดจมูก

สำหรับยา Orlistat นั้น อาจมีผลข้างเคียง อย่างเช่น ผายลมบ่อย อุจจาระเป็นมัน ถ่ายบ่อย หรือไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะชั่วคราวเท่านั้นและมักจะหายเอง แต่ก็หนักขึ้นได้เช่นกันถ้าคุณกินอาหารไขมันสูง และเพราะยานี้จะลดการดูดซึมไขมัน จึงลดการดูดซึมวิตามินซึ่งละลายในไขมันด้วย ทำให้คุณขาดวิตามินบางประเภทได้

และเนื่องจากยาเหล่านี้ไม่ได้รับคำแนะนำให้ใช้ในระยะยาว จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ใครก็ตามซึ่งพยายามจะลดน้ำหนักควรจะเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เปลี่ยนนิสัยการกิน และออกกำลังให้มากขึ้นในขณะที่กินยานั้น

เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย

คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

lisa

Wednesday, May 8, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


ไขข้อสงสัย ทำไมใส่บรานอนแล้วจึงเสี่ยงมะเร็งเต้านม

Posted: 08 May 2013 04:00 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

เคยได้ยินไหมที่สาว ๆ เตือนกันเองว่า “ไม่ต้องใส่บราหรือเสื้อชั้นในเวลานอน เพราะเดี๋ยวจะทำให้เป็นมะเร็งเต้านม” แล้วคุณรู้ไหมคะว่าทำไมการใส่เสื้อชั้นในตอนนอนถึงทำให้เป็นมะเร็งเต้านมได้ วันนี้กระปุกดอทคอมมาไขความสงสัยให้ได้ทราบกันค่ะ

ในปี 1995 ได้มีหนังสือเล่มหนึ่งตีพิมพ์ออกมาว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการใส่บรากับความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านม หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า “Dressed to Kill” โดยสองนักวิจัยชาวอเมริกัน ซิดนีย์ รอส ซิงเกอร์ และ โซม่า กริสมายเจอร์ กับผลการวิจัยที่สรุปออกมาอย่างน่าตกใจว่า ผู้หญิงที่ใส่บรานานเกินวันละ 12 ชั่วโมง มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่โรคมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้หญิงกลุ่มที่ไม่นิยมใส่เสื้อชั้นในนาน ๆ

งานวิจัยของทั้งสอง ได้ทำการสำรวจจากหญิงอเมริกันราว 4,700 คน ซึ่งครึ่งหนึ่งในกลุ่มนั้นเป็นโรคมะเร็งเต้านม หลังจากได้สอบถามประวัติและพฤติกรรมการใส่เสื้อชั้นในจากคนทั้งสองกลุ่มแล้ว พบว่าสิ่งที่กลุ่มผู้เป็นโรคมะเร็งเต้านมมีเหมือน ๆ กัน คือ ใส่เสื้อชั้นในที่แน่นกระชับ และใส่เป็นจำนวนชั่วโมงที่ยาวนานถึงขนาดใส่แม้กระทั่งเวลานอน อันต่างจากพฤติกรรมของหญิงกลุ่มที่ไม่เป็นมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

แล้วการใส่เสื้อชั้นในด้วยชั่วโมงที่ยาวนาน มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องต่อการเป็นมะเร็งเต้านมอย่างไร? หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายไว้ว่า การใส่เสื้อชั้นในที่ยาวนาน ทำให้หน้าอกถูกบีบรัดกดทับอยู่ตลอด จนต่อมน้ำเหลืองไม่สามารถระบายของเสียที่และสิ่งแปลกปลอมที่ดักจับได้ออกจากร่างกายไป โดยต่อมน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่ดักจับและทำลายเชื้อโรค ซึ่งมีทั้งแบคทีเรีย ไวรัส อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายตามธรรมชาติ และสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ที่ร่างกายไม่ต้องการให้แก่เนื้อเยื่อบริเวณหน้าอกทั้งสองข้างนั้น อยู่บริเวณใต้รักแร้ เมื่อมีทางเดินน้ำเหลืองซึ่งเต็มไปด้วยของเสียถูกกดทับด้วยความโอบกระชับของการใส่บราต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ของเหลวดังกล่าวจึงคั่งอยู่ในจุด ๆ เดียว ก่อให้เกิดอาการบวมน้ำเหลือง เป็นซีสต์ และเกิดอาการปวดระบม รวมทั้งเป็นบ่อเกิดของเซลล์มะเร็ง เพราะเมื่อมีเสื้อชั้นในมากดทับ น้ำเหลืองซึ่งมีสารอนุมูลอิสระอันมีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็ง คั่งค้างอยู่ที่เนื้อเยื่อบริเวณเดียวกันเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดเซลล์มะเร็งขึ้นที่เต้านมได้นั่นเอง

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนผลการวิจัยชิ้นนี้จะเป็นเพียงชิ้นเดียวในแวดวงการแพทย์เท่านั้นที่ยืนยันว่าการสวมเสื้อชั้นในติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ เกิน 12 ชั่วโมง จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้น และยังไม่มีผลการวิจัยอื่น ๆ ที่ยืนยันความเชื่อมโยงเรื่องการใส่บรากับการเป็นมะเร็ง แต่อย่างไรก็ตาม ฟังหูไว้หูเอาไว้ก่อนก็น่าจะเป็นเรื่องดีนะคะ ที่สำคัญการใส่เสื้อชั้นในยามนอนหลับพักผ่อนนี้น่าอึดอัดออกจะตายไป ถ้าอยู่กับบ้านหรือห้องหับที่มิดชิด จะปล่อยให้หน้าอกหน้าใจของเราเป็นอิสระบ้างก็ไม่เห็นเสียหายเนอะ :)

ลดความเสี่ยง..เมื่อต้องฝากท้องไว้กับอาหารริมทาง

Posted: 07 May 2013 05:00 PM PDT

มองข้ามกันไม่ได้เลยนะคะสำหรับอาหารริมทาง หรือที่ฝรั่งเขาให้สมญานามว่า "สตรีท ฟู้ด : Street food" เพราะกลายเป็นจานโปรดของคนส่วนใหญ่ เนื่องจากความรวดเร็ว ง่าย สะดวก อร่อย ราคาสบายกระเป๋า โดยสื่อต่างชาติ อย่าง บีบีซี เคยทำรายงานเกี่ยวกับอาหารริมทางที่ดีที่สุดในกรุงเทพ (The best of Bangkok's Street food) ส่วนซีเอ็นเอ็นก็กล่าวถึงอาหารริมทางในเมืองหลวงของไทยไว้ในเนื้อหาด้านท่องเที่ยวเช่นกัน

แม้อาหารริมทางจะเป็นที่นิยมตามที่กล่าว แต่ก็มีความเสี่ยงต่อสุขภาพมิใช่น้อย เห็นได้จากหลายคนเคยทานอาหารประเภทนี้แล้วท้องเสีย ผู้เขียนคิดว่าเป็นเพราะระบบจัดการควบคุมดูแลที่ไม่สามารถทำได้ 100% ภาครัฐและกทม.ก็ทำหน้าที่ได้แค่ส่งเสริมให้ความรู้ และสุ่มตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งอาจไม่ถึง 5% ของร้านอาหารริมทางที่มีทั้งหมด

เมื่อพึ่งพาใครไม่ได้ จึงเป็นหน้าที่ที่เราเองควรระมัดระวัง มาอ่านทริคดีๆ ในการเลือกทานอาหารริมทางให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพน้อยที่สุดกันดีกว่าค่ะ

“ความสะอาดและสุขลักษณะ” ส่วนใหญ่เป็นร้านเล็กๆ ตั้งแต่รถเข็น หาบเร่ แผงลอย ไปจนถึงใช้รถยนต์ดัดแปรงเป็นครัว ซึ่งง่ายมากที่จะสังเกตความสะอาดค่ะ ดังนั้นก่อนซื้อควรสังเกตว่ามีสุขลักษณะโดยภาพรวมดีหรือไม่ ตั้งแต่การจัดวางวัตถุดิบ อุปกรณ์ ผู้เขียนเองเคยไปรอซื้อโจ๊กหมูข้างทาง ขณะรอซื้อก็เห็นตั้งแต่แมลงวันที่เกาะตามถุงขยะเล็กๆ ของร้าน และบินมาเกาะยังชิ้นส่วนของตับและเครื่องในหลังลวก ไปจนถึงมีดคุณแม่ค้าที่ใช้หั่นของสุกและดิบสลับกันโดยที่ไม่ทำความสะอาดแต่อย่างใด ร้านส้มตำที่คนขายไอค๊อกแค๊ก ใช้ทัพพีตักชิมรสแล้วก็นำทัพพีนั้นไปตักส้มตำใส่ถุงอย่างสบายใจ หรือร้านก๋วยเตี๋ยวน้ำตกที่แช่เลือดสด สารพัดผัก และเนื้อสัตว์ในถังน้ำแข็งที่ใช้เป็นน้ำแข็งให้เราทาน

แต่ละร้านที่กล่าวมา ล้วนแล้วแต่มีสภาพนำพาเชื้อจุลินทรีย์ เชื้อไวรัส ที่ก่อให้เกิดโรคเข้าสู่ร่างกายผ่านอาหารที่เราซื้อทานกัน ดังนั้น แนะเลือกร้านริมทางที่มีการจัดการที่ดี แยกการจัดเก็บของอาหารดิบ-สุก วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้มีความสะอาด ภาพรวมดูปลอดภัยจะดีกว่า

“สุขลักษณะของแม่ค้า-พ่อค้า” อีกเรื่องที่ฝากให้สังเกตคือ แม่ค้า-พ่อค้าผู้ปรุงอาหาร ร้านที่เราควรเลือกซื้อนั้น ควรดูแลสุขลักษณะของตนให้ดี เช่น สวมหมวกหรือเน็ทคลุมผม ป้องกันเส้นผมร่วงหล่นลงสู่อาหาร ใส่ผ้ากันเปื้อนที่สะอาด สวมถุงมือถ้าต้องจับหรือสัมผัสกับอาหารที่ปรุงสุกแล้ว หรือหากอาหารบางประเภท ถ้าใส่ถุงมือแล้วไม่ถนัด ก็ควรมีผ้าเช็ดมือหรือน้ำล้างมือที่สะอาดไว้คอยทำความสะอาดมือ รวมถึงงดนิสัยช่างเม้าท์ พูดไปทำไป เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำลายลงสู่อาหาร ลดการนำพาเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค รวมถึงเชื้อโรคต่างๆ ที่มาจากน้ำลายหรือบาดแผลตามผิวหนัง

“ประเภทของอาหาร” ที่ควรเลี่ยงคือ ปิ้ง ย่าง ทอด อาหารเหล่านี้ เสี่ยงทั้งอันตรายจากสารก่อมะเร็งจากความไหม้เกรียม น้ำมันเก่าใช้ทอดซ้ำ และเสี่ยงเรื่องปริมาณไขมันเกินขนาด จนส่งผลต่อโรคอ้วน โรคหัวใจ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด หากอดใจไม่ไหว ให้เลือกที่ไหม้เกรียมน้อยที่สุด อาหารทอดก็สังเกตน้ำมันที่ใช้ทอดก่อนว่ามีสีคล้ำดำหรือไม่ และอย่าทานบ่อย นอกจากนี้ควรเลี่ยงอาหารสุกๆ ดิบๆ ด้วย

“สีสันและหน้าตาของอาหาร” การไม่มีหน่วยงานมาควบคุมดูแลเรื่องความปลอดภัย จึงเป็นไปได้มากที่พ่อค้า-แม่ค้าบางรายจะมองข้ามและนำสารอันตรายมาใช้กับอาหาร เช่น สีที่ใส่อาหาร แน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นสีผสมอาหารที่ปลอดภัย และใช้ในปริมาณเหมาะสม รวมทั้งการใส่สารเคมีที่ทำให้อาหารคงความสด อย่าง ฟอร์มาลีน ลงในอาหารทะเลและผักสด ดินประสิวที่ใช้เป็นสารกันบูดและยังทำให้สีสันของเนื้อสัตว์น่าทาน ขัณฑสกรหรือน้ำตาลเทียมในกลุ่มอาหารที่ต้องใช้น้ำตาลในปริมาณสูง เช่นพวกน้ำหวาน น้ำผลไม้ ดังนั้นเราจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารริมทางที่สีสันสวยเด่นดูผิดธรรมชาติ น้ำหวานน้ำผลไม้ที่ทานแล้วมีรสขมที่ปลายลิ้น

“ผักที่ใช้” หลายร้านใช้ผักในปริมาณมาก แต่ต้องการความรวดเร็ว จึงขาดจิตสำนึกต่อผู้บริโภค ไม่ล้างผักก่อนนำมาใช้หรือปรุงอาหาร ซึ่งเราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผักส่วนใหญ่มีปริมาณยาฆ่าแมลงและสารเคมีที่ใช้ในการเพาะปลูกปะปนในปริมาณสูง แม้ผักที่ล้างแล้วก็ยังตรวจพบการตกค้างของยาฆ่าแมลงอยู่เลย ดังนั้นถ้าซื้อแล้วได้ผักสดกลับมา ควรนำไปล้างทำความสะอาดก่อนทาน และอีกเรื่องที่ควรสังเกต “ภาชนะบรรจุ” ที่ควรเลี่ยงคือ การใช้ภาชนะโฟม ถุงกระดาษที่มีหมึกพิมพ์มาใส่อาหารร้อนและอาหารที่มีไขมัน เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับสารอันตราย อย่างสารโลหะหนักต่างๆ ได้ง่ายๆ

อ่านดูแล้วบางท่านอาจเห็นเป็นเรื่องลำบากว่า จะซื้ออาหารริมทางทั้งที ทำไมต้องยุ่งยาก สังเกตมากมายเพียงนี้ อย่าลืมว่า ร่างกายเรามีต้นทุนสูงนะคะ จะทานอะไรทั้งทีก็ควรเลือกสิ่งดีๆ มีอันตรายน้อยที่สุด สารพิษบางชนิดใช้เวลาสะสมในร่างกายนาน กว่าจะเกิดโรคให้ทราบก็สายเกินแก้ ส่วนใครคิดแค่ว่าทานไปเถอะ ขี้เกียจจะมาเลือก ก็ไม่ว่าอะไรค่ะ เพราะ You are what you eat ทานอะไรก็เป็นแบบนั้น อยากมีสุขภาพดี ต้องรู้จักเลือกที่จะทาน

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

Tuesday, May 7, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


มะกันชี้ ดื่มน้ำอัดลมไดเอต 4 กระป๋องต่อวัน เสี่ยงภาวะซึมเศร้า

Posted: 06 May 2013 05:00 PM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ผลจากวิจัยจากอเมริกาชี้ ดื่มน้ำอัดลมไดเอต หรือน้ำผลไม้ที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล มากกว่า 4 กระป๋องต่อวัน เสี่ยงเกิดโรคซึมเศร้า ระบุ ดื่มกาแฟ 4 ถ้วยต่อวัน ช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้

ใครที่ชอบดื่มน้ำอัดลมวันละหลายกระป๋องต้องฟังทางนี้เลย เพราะทางสำนักข่าวบีบีซี ของอังกฤษ ได้เปิดเผยข้อมูลงานวิจัยของสหรัฐอเมริกา ที่สำรวจจากคนกว่า 250,000 คน พบว่า กลุ่มผู้ที่บริโภคเครื่องดื่มที่มีสารให้ความหวานแทนน้ำตาลนั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้า

โดยงานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่า ผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้ที่ใช้สารความหวานแทนน้ำตาล เช่น โค้กไดเอต ถึง 4 กระป๋อง หรือ 4 แก้วต่อวันนั้น เสี่ยงที่จะก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าจากคนปกติ ขณะที่การดื่มกาแฟนั้น แทบจะไม่ก่อให้เกิดโรคซึมเศร้าเลย โดยจากการสำรวจเป็นระยะเวลา 10 ปีพบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟ 4 ถ้วยต่อวัน มีโอกาสเกิดโรคซึมเศร้าน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกาแฟถึง 10 เปอร์เซ็นต์

สำหรับการวิจัยที่กำลังจะถูกนำเสนอในงานประชุมประจำปีของสถาบันการศึกษาด้านประสาทวิทยาของอเมริกา โดย ดร.เฉินหงเล่ย หัวหน้าทีมวิจัย จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติในแคลิฟอร์เนียเหนือ ระบุว่า ผลการวิจัยนี้มุ่งที่จะได้เห็นการลดลงของเครื่องดื่มที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือ มีการนำกาแฟที่ไร้รสหวานซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะโรคซึมเศร้าได้ มาวางจำหน่ายแทน

น้ำอัดลม

นอกจากนี้ ดร.เฉิน ยังเผยว่า ในการวิจัยนี้ยังคงต้องมีการค้นคว้าศึกษาเพิ่มเติม เพราะยังขาดหลักฐานที่แน่ชัด แม้จะมีงานวิจัยชิ้นอื่นที่มีผลสนับสนุนงานวิจัยในครั้งนี้ก็ตาม ส่วนในด้านความปลอดภัยของสารให้ความหวาน อย่างเช่น แอสปาร์แตม นั้น ยังคงต้องได้รับการทดสอบโดยนักวิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวาง และต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่กำกับดูแล

ด้าน เกย์นอร์ บุสเซลล์ จากสมาคมโภชนาการของอังกฤษ เผยว่า สารให้ความหวานเหล่านี้ ยังคงเป็นที่ไม่มั่นใจในความปลอดภัย จึงต้องทดสอบอย่างกว้างขวางอีกครั้ง และพิจารณาถึงความปลอดภัย ทั้งยังต้องได้รับการบันทึกการติดตามด้านความปลอดภัยที่ดีเยี่ยมจากร้านค้าต่าง ๆ ด้วย

นอกจากนี้ เกย์นอร์ ยังบอกอีกว่า การวิจัยดังกล่าวยังเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ และนั่นทำให้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า สารให้ความหวานเหล่านี้เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะโรคซึมเศร้า ทั้งยังพูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ดังนี้

“เริ่มแรกเลย พวกคนที่กำลังทรมานจากโรคซึมเศร้า อาจจะเกิดความคิดว่าสารให้ความหวานเป็นสาเหตุของโรค ซึ่งจะทำให้พวกเขาเกิดอคติต่อเครื่องดื่มที่ใส่สารให้ความหวาน ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้า นอกจากนี้ก็อาจรวมถึงเครื่องดื่มไดเอตทั้งหลายของกลุ่มคนที่เป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวานด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้วสารให้ความหวานที่ไม่ได้ถูกทำให้ร้อนนั้น มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับกลุ่มผู้ที่พยายามจะลดน้ำหนักและผู้ที่เป็นเบาหวาน แน่นอนว่าเราไม่ได้สนับสนุนให้ประชาชนต้องหันมาดื่มกาแฟมากขึ้นแทนการดื่มน้ำอัดลมไดเอต”

Wednesday, May 1, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


สีของผม…สะท้อนสุขภาพของเธอ

Posted: 30 Apr 2013 05:00 PM PDT

สีของผม…สะท้อนสุขภาพของเธอ (ไทยโพสต์)

เส้นผมคือสิ่งที่สะดุดตาที่สุดในตัวคนเรา เราหลายคนจึงหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา แต่ถึงแม้คนเราจะใช้เวลามากมายไปกับการเสริมแต่งผม แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งซึ่งน่าสนใจทีเดียว ที่พวกเราอาจไม่รู้ว่า ภายใต้ความเงางามและสีสันของเส้นผมนั้นก็เป็นตัวชี้วัดถึงสุขภาพได้เหมือนกัน

หากว่าคุณผมสีบลอนด์…

ปกป้องดวงตาของคุณ

ผู้หญิงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งอาจทำให้ตาบอดมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงผมสีอ่อน การบริโภคสารประกอบธรรมชาติอย่างลูทีนและซีแซนธีน ซึ่งพบในกะหล่ำเขียว ผักโขม และถั่วลันเตา จะช่วยป้องกันโรคได้ คุณควรกินผักสีเขียวอย่างน้อย 1 ถ้วยทุก ๆ วัน และการกินสลัดนั้นคือวิธีที่ดีที่จะทำให้คุณกินผักได้เพียงพอ

ปกปิดผิวกาย

เมลานีนคือเม็ดสีผิวซึ่งช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี ผู้หญิงผมบลอนด์นั้นผลิตเมลานีนได้น้อยกว่า ทำให้ผิวของพวกเธอ โดยเฉพาะบริเวณหนังศีรษะมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งเมลาโนมา ควรใช้ครีมกันแดดเอสพีเอฟ 30 ที่ช่วยปกป้องสูงสุดจากรังสียูวีเอและยูวีบี และสวมหมวกทุกครั้งที่ออกไปเผชิญกับแสงแดดโดยตรง

หากว่าคุณผมสีเข้ม…

จงห่วงผมของคุณ

ผู้หญิงอเมริกันกว่าครึ่งจาก 30 ล้านคนที่มีปัญหาผมร่วงนั้นมีผมสีเข้ม นั่นอาจเป็นเพราะว่าพวกเธอมีผมที่บางกว่า ผมสีน้ำตาลมีความหยาบและหนากว่าสีบลอนด์หรือแดง ร่างกายจึงผลิตเส้นผมน้อยลง ดังนั้น เมื่อรูขุมขนเริ่มฝ่อตัว จึงทำให้มองเห็นรอยผมแหว่งได้ชัดเจน การมีธาตุเหล็กต่ำนั้นเกี่ยวข้องกับผมร่วง คุณควรกินธาตุเหล็ก 18 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งข้าวโอ๊ต 1 ถ้วย จะช่วยเติมเต็มในส่วนนี้ได้

เลิกสูบบุหรี่ซะ

ผมสีเข้มนั้นเกิดจากการมีเมลานีนมาก และนั่นอาจทำให้คุณติดนิโคตินง่ายขึ้น เนื่องจากเมลานีนทำให้ตับกำจัดสารเสพติดได้ช้าลง และยิ่งสารตกค้างอยู่ในร่างกายคุณนานเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเสพติดเร็วขึ้นเท่านั้น วิตามินซีช่วยให้ตับมีสุขภาพดี คุณจึงควรกินวิตามินซีวันละ 75 มิลลิกรัมในรูปของพริกแดงครึ่งถ้วยหรือส้มขนาดกลางหนึ่งลูก แต่แน่นอนว่าวิธีที่ดีที่สุดคือไม่ต้องหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีก

หากว่าคุณผมสีแดง…

ยังไม่ค่อยชา

ผู้หญิงผมแดงมีดีเอ็นเอกลายพันธุ์ซึ่งได้รับสืบทอดทางพันธุกรรม ทำให้พวกเธอทนทานต่อสารระงับความรู้สึกทั้งแบบทั่วไปและแบบท้องถิ่น สาวผมแดงนั้นอาจต้องรับยาชามากกว่าสาวผมบลอนด์หรือผมเข้มถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ได้ผลเท่ากัน ครั้งหน้าที่คุณไปหาหมอฟัน คุยกับหมอก่อนเรื่องการระงับปวดก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ หรือกินยาแก้ปวด 500 มิลลิกรัมก่อนออกจากบ้าน

ระวังโรคพาร์กินสัน

ผลวิจัยจากฮาร์วาร์ดเผยว่า คนที่มีผมสีแดงมีโอกาสถึงเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นโรคพาร์กินสัน ทำไมน่ะเหรอ อาจเพราะการกลายพันธุ์ของยีนแบบเดียวกันนั่นแหละ มันมีผลกระทบต่อยีนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเมื่อกลายพันธุ์แล้วจะสามารถมีความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน กรดโฟลิกนั้นอาจช่วยชะลอการลุกลามของโรค คุณควรกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน โดยกินในรูปของวิตามินรวมก็ได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ไทยโพสต์

Tuesday, April 30, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


โพลชี้! คนกรุงมีความสุขที่สุดแค่ 7% ผู้หญิงอยากโสด – ผู้ชายไม่ผูกมัด

Posted: 30 Apr 2013 08:00 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

Life's Good Poll เผยแบบสำรวจความสุขของคนกรุงเทพฯ พบคนกรุงมีความสุขที่สุดแค่ 7% นอกนั้นมีความสุขปานกลาง ขณะที่ผู้หญิง 21% เลือกเป็นโสด และผู้ชาย 21% ไม่ชอบความสัมพันธ์แบบผูกมัด

บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมือกับ สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ทำแบบสำรวจความสุขของคนกรุงเทพฯ (Life's Good Poll) ในปี 2555 โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็น ชาย-หญิง อายุระหว่าง 20-45 ปี จำนวน 1,037 คน ระหว่างเดือน ตุลาคม–พฤศจิกายน 2555 โดยผลสำรวจมีดังนี้

ภาพรวมความสุขของคนกรุงเทพฯ ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.37

มีความสุขปานกลาง 54%
มีความสุขน้อยถึงน้อยที่สุด 39%
มีความสุขมากที่สุด 7%
โดยกลุ่มคนที่มีความสุขมากที่สุดคือ ช่วงอายุ 20-25 ปี

นิยามของชีวิตที่มีความสุข

อายุ 31 ปี ขึ้นไป คือ สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไร้โรคภัยไข้เจ็บ (26%)
อายุ 36 ปี คือ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน (25%)
อายุ 20-25 ปี คือ ได้ทำได้สิ่งที่ตัวเองรัก และใช้ชีวิตตามต้องการ และมีเพื่อนร่วมงานที่ดี (23%)

ขณะที่ความสุขด้านความสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์ที่ยืนยาว มีอนาคตร่วมกัน ร้อยละ 57% ทั้งนี้ มีผู้หญิง 21% เชื่อว่า การอยู่เป็นโสดจะมีความสุขมากกว่าการมีชีวิตคู่ ขณะที่ผู้ชาย 21% ไม่ต้องการมีความสัมพันธ์แบบผูกมัด

สำหรับทัศนคติที่มีต่อเทคโนโลยีและนวัตกรรม 32% บอกว่าโทรศัพท์มือถือคือความสุขอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ โทรทัศน์ 24% และโน้ตบุ๊ก19%

นอกจากนี้คนกรุงเทพฯ จะมีความสุขมากขึ้นเมื่อปัญหาด้านเศรษฐกิจและค่าครองชีพได้รับการแก้ไข คิดเป็น 32% และปัญหาด้านการเมือง คอร์รัปชั่น และความสามัคคีภายในชาติ ที่ได้รับการแก้ไข 16% โดยมี 35% เชื่อว่าการเปิดประชาคมอาเซียน (AEC) คนไทยจะเสียเปรียบ และอีก 12% ไม่รู้จักประชาคมอาเซียนเลย

สถิติน่าสนใจ…ทัศนคติเรื่องลดน้ำหนักของคนทั่วโลก

Posted: 30 Apr 2013 06:00 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ในปัจจุบัน ทั้งชายและหญิงต่างหันมาให้ความใส่ใจกับรูปร่างตัวเองมากขึ้น และกลายเป็นกระแสที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนจำนวนมาก ที่มีปัญหาในเรื่องน้ำหนักตัว และลดน้ำหนักด้วยวิธีการผิด ๆ เช่น ดูดไขมัน หรือ กินยาลดความอ้วน วันนี้ กระปุกดอทคอม ได้รวบรวมสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับทัศนคติของผู้คนทั่วโลกต่อรูปร่างและการลดน้ำหนัก มาฝากกันจ้า

ประเทศที่ประชาชนตระหนักถึงพิษภัยของโรคอ้วนมากที่สุด : ฟินแลนด์

ในช่วงปี 1970 ประเทศฟินแลนด์มีจำนวนผู้ที่เสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงที่สุดในโลก ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข จึงมีการออกแคมเปญ เพื่อให้ความรู้กับประชาชนเรื่องโภชนาการ การออกกำลังกาย และพิษภัยจากการสูบบุหรี่ และนั่นช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจในกลุ่มคนวัยทำงานได้สูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ตลอดเวลา 30 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังทำให้คนฟินแลนด์ มีอายุโดยเฉลี่ยยืนยาวขึ้นอีก 10 ปีด้วย

ทั้งนี้ หนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จ คือ การแข่งขัน “ยิ่งลดยิ่งได้โชค” โดยในแต่ละเมืองจะมีการจัดการแข่งขันชิงรางวัล โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องมีคนที่หยุดสูบบุหรี่ให้ได้มากที่สุด หรือลดคลอเรสเตอรอลให้ได้เยอะที่สุด หรือว่าลดพุงไปได้กี่นิ้ว

ประเทศที่คนรู้สึกกดดันว่า “อยากจะผอม” มากที่สุด : บราซิล

ในกรุงริโอ เดอจาเนโร ผู้คนต่างคาดหวังว่า ตัวเองจะต้องใส่เสื้อผ้าให้น้อยชิ้นที่สุดในเทศกาลคาร์นิวัล หรือ ตอนไปเดินเล่นบนชายหาด ดังนั้น จึงเกิดค่านิยมที่ว่าตนเองต้องรูปร่างดีที่สุด และไม่กลัวหากถูกจับตามอง โดยจากการสำรวจพบว่า ชาวบราซิลกว่า 83 เปอร์เซ็นต์ คิดว่า สังคมให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของน้ำหนักมากเกินไป ผู้ชาย 77 เปอร์เซ็นต์ และผู้หญิง 89 เปอร์เซ็นต์ ต่างรู้สึกกดดันที่ต้องทำให้ตัวเองมีรูปร่างสวยเช้ง และนั่นทำให้เกิดเทรนด์ใหม่ ๆ ในบราซิล ทั้งจำนวนของประชากรที่กินยาลดความอ้วนเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 2001 -2005 ธุรกิจศัลยกรรมเพื่อความงามได้รับความนิยมอย่าล้นหลาม แม้กระทั่งคุณหมอ ยังมีโปรแกรมดูดไขมันออกจากนิ้วเท้า

ประเทศที่ภรรยาต้องการให้สามีลดน้ำหนักมากที่สุด : สหรัฐอเมริกา

กว่า 51 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วในสหรัฐอเมริกา หวังว่า สามีของพวกเธอจะมีรูปร่างที่ผอมลง และผู้ชายกว่า 47 เปอร์เซ็นต์ ก็หวังว่าภรรยาของตัวเองจะผอมลงเช่นกัน แต่สิ่งที่น่าขันคือ ผู้หญิง 68 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่า วัฒนธรรมอเมริกัน ให้ความสำคัญกับเรื่องน้ำหนักมากเกินควร และพวกเธอก็รับได้ หากผู้ชายจะมีรูปร่างลงพุง ตราบใดที่คน ๆ นั้น ไม่ใช่สามีของตัวเอง

ประเทศที่สามีต้องการให้ภรรยาลดน้ำหนักมากที่สุด : อินเดีย

กว่า 48 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชายอินเดีย ยอมรับว่า พวกเขาไม่ค่อยพอใจกับรูปร่างของภรรยา ในขณะที่ 46 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงอินเดีย ก็กล่าวว่า ตัวเองไม่พอใจกับรูปร่างของสามีเช่นกัน แต่หากจะมองในด้านดี ทั้งชายและหญิงต่างไม่พอใจในรูปร่างของคู่ชีวิตในระดับที่เท่า ๆ กัน ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกา ผู้ชายกว่า 47 เปอร์เซ็นต์คาดหวังว่า ภรรยาตัวเองจะผอมลงกว่านี้

ประเทศที่ไม่ว่าคุณจะมีรูปร่างแบบไหน เขาก็ยังรักคุณ : ฮังการี

คนฮังการีต่างรู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องกดดันในเรื่องรูปร่าง ไม่ว่าสังคมจะมองมายังไง โดยมีเพียง 28 เปอร์เซ็นต์ที่มองว่า สังคมให้ความสำคัญกับเรื่องของน้ำหนักมากจนเกินไป และผู้ชายที่แต่งงานแล้วต่างพอใจกับรูปร่างของภรรยาตัวเอง มีผู้ชายฮังการีแค่ 11 เปอร์เซ็นต์ และผู้หญิงอีก 14 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่อยากให้คู่รักของตัวเองขจัดน้ำหนักส่วนเกินออกไป

ประเทศที่มีคนกินยาลดความอ้วนมากที่สุด : จีน

คนจีนกว่า 37 เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่าตัวเองกินยาลดความอ้วน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความกังวลในเรื่องรูปร่างกำลังแพร่ขยายไปทั่วประเทศจีน และคนก็มองว่า การทานยาลดความอ้วนถือเป็นเทรนด์ และเป็นวิธีการลดความอ้วนที่ได้ผลอย่างรวดเร็ว แต่ยาลดความอ้วนเหล่านี้ต่างเป็นอันตราย บางครั้งก็มีโทษถึงแก่ชีวิต แม้แต่โรงงานผลิตก็ยังไม่ได้มาตรฐาน

จากผลการสำรวจ พบว่า ผู้หญิงในทุกประเทศมีแนวโน้มใช้ยาลดความอ้วนมากกว่าผู้ชาย แต่ประเทศที่คนหันหน้าเข้าหายาลดความอ้วนเร็วที่สุดนั้น คือ บราซิล (30 เปอร์เซ็นต์) รัสเซีย (24 เปอร์เซ็นต์) และเม็กซิโก (23 เปอร์เซ็นต์)

ประเทศที่คนไม่สนใจจะลดน้ำหนักตามคำสั่งแพทย์มากที่สุด : สวิตเซอร์แลนด์

เมื่อเราถามผู้คนทั่วโลกเกี่ยวกับเหตุผลที่พวกเขาพยายามลดน้ำหนัก ปรากฏว่า การลดน้ำหนักตามคำสั่งของแพทย์ ถือเป็นเหตุผลที่คนเลือกน้อย และคนสวิตเซอร์แลนด์เอง ให้ความสำคัญกับคำสั่งแพทย์น้อยที่สุด มีเพียง 11 เปอร์เซ็นต์ที่บอกว่า ยอมลดน้ำหนักตามคำสั่งแพทย์ ในขณะที่คนเม็กซิกันกว่า 46 เปอร์เซ็นต์ และคนฝรั่งเศสกว่า 39 เปอร์เซ็นต์ ให้ความใส่ใจกับคำสั่งของหมอมากที่สุด

ประเทศที่คนสูบบุหรี่เพื่อลดน้ำหนักมากที่สุด : รัสเซีย

การสูบบุหรี่ เพื่อให้ตัวเองอยากอาหารน้อยลง ถือเป็นค่านิยมผิด ๆ ในสังคมทั่วโลก แต่นิสัยการสูบบุหรี่ ก็ยังเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย โดยผู้ชายรัสเซียกว่า 23 เปอร์เซ็นต์ และผู้หญิงกว่า 18 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่า ตนเองสูบบุหรี่เพื่อจุดประสงค์ในการลดน้ำหนัก และยังมีคนในชาติอื่น ๆ ที่มีค่านิยมแบบนี้ ทั้งฟิลิปปินส์ จีน และเม็กซิโกด้วย

ประเทศที่คนบอกว่า ขาดแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนักมากที่สุด : ฟิลิปปินส์

คนฟิลิปปินส์กว่า 95 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่า พวกเขาชอบทานอาหารดี ๆ และคนกว่า 82 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่า พวกเขาไม่มีแรงบันดาลใจในการลดการกินอาหาร มีเพียง 38 เปอร์เซ็นต์ที่บอกว่า พวกเขาพยายามจะลดน้ำหนัก

ประเทศที่คนโทษว่าน้ำหนักเกินเป็นเพราะพันธุกรรมมากที่สุด : รัสเซีย

คนรัสเซียกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ชี้ว่า เหตุผลที่พวกเขาอ้วนนั้น เป็นเพราะกรรมพันธุ์ ในขณะที่คนเยอรมันกว่า 61 เปอร์เซ็นต์ และคนอินเดียกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ก็อ้างแบบนี้เช่นกัน

ประเทศที่คนโทษค่านิยมการกินจากอเมริกามากที่สุด : ฝรั่งเศส

จากผลการสำรวจพบว่า คนฝรั่งเศสมองว่า ค่านิยมการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดจากอเมริกา เป็นเหตุให้พวกเขาน้ำหนักเกิน แต่คนอเมริกัน 75 เปอร์เซ็นต์ก็เห็นว่า การกินอาหารจังก์ฟู้ดเป็นสาเหตุของความอ้วน

ประเทศที่คนลดน้ำหนักได้ถูกวิธีมากที่สุด : เม็กซิโก

คนเม็กซิกันกว่า 93 เปอร์เซ็นต์ หันมารับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อการลดน้ำหนัก และอีก 86 เปอร์เซ็นต์ ก็พยายามออกกำลังกายมากขึ้น ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากกว่าทุกประเทศที่มีการสำรวจ คนเม็กซิกันรู้วิธีการลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง แม้ว่าพวกเขาจะไม่จำเป็นต้องปฏิบัติก็ตาม

ประเทศที่คนอยากลดน้ำหนักเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากที่สุด : อินเดีย

กว่า 67 เปอร์เซ็นต์ของคนอินเดีย กล่าวว่า ความอ้วนเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในอาชีพ โดยคนกว่า 41 เปอร์เซ็นต์เห็นว่า ความต้องการที่จะเลื่อนตำแหน่ง เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการลดน้ำหนัก และนี่เป็นหนึ่งตัวอย่างจากจำนวนไม่มาก ที่ผู้ชาย (52 เปอร์เซ็นต์) รู้สึกถึงความกดดันในเรื่องการลดน้ำหนัก มากกว่าผู้หญิง (31 เปอร์เซ็นต์) และความอ้วน ไม่ได้ส่งผลต่อหน้าที่การงานแค่อินเดียเพียงแห่งเดียว ประเทศเยอรมนีและฟิลิปปินส์ ต่างก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน

ประเทศที่ผู้หญิงต้องต่อสู้กับความอ้วนอย่างหนักมากที่สุด : สหรัฐอเมริกา

คนเกือบทุกประเทศมองว่า การที่มีน้ำหนักมากเกินไปถือเป็นเรื่องที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม แต่ก็มีคนในบางประเทศที่มองต่างออกไป โดยคนจีนกว่า 57 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่า ความอ้วนไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการมีเซ็กส์ และในสหรัฐอเมริกา คนที่ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า ความอ้วนเป็นอุปสรรคสำหรับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงกว่า 58 เปอร์เซ็นต์ และผู้ชายอีก 37 เปอร์เซ็นต์ เห็นตรงกันในเรื่องนี้

ประเทศที่คนมองว่า ความอ้วนเข้ามาทำลายชีวิตเซ็กส์ของตัวเอง มากที่สุด : ออสเตรเลีย และเม็กซิโก

กว่า 52 เปอร์เซ็นต์ของคนออสเตรเลีย และคนเม็กซิกัน กล่าวว่า ความอ้วนทำให้พวกเขาไม่มีความสุขเกี่ยวกับเซ็กส์ และคนรัสเซียกว่า 51 เปอร์เซ็นต์ ก็เห็นด้วยในเรื่องนี้ ในขณะที่คนฮังการีเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ และคนเนเธอร์แลนด์อีก 18 เปอร์เซ็นต์ คือสองประเทศที่มองว่า ความอ้วนเป็นปัญหาต่อชีวิตเซ็กส์น้อยที่สุด

ทฤษฎีใหม่ ว่าด้วยทำไมนิ้วมือที่แช่น้ำจึงเหี่ยว

Posted: 30 Apr 2013 04:00 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ความรู้เก่า ๆ ที่เราได้ยินได้ฟัง (ที่ได้เรียนมาก็บอกอย่างนั้นเหมือนกัน) ว่าด้วยสาเหตุที่ทำให้ผิวเหี่ยวหากแช่น้ำนานก็คือ ผิวชั้นนอกเกิดการออสโมซิส ขยายตัวมากเสียจนเหี่ยวย่นอย่างที่เห็น .. ฟังดูสมเหตุสมผล และน่าเชื่อถือดีแล้ว แต่ก็มีการวิจัยล่าสุดเสนอแนวคิดมาใหม่ว่า การที่นิ้วเหี่ยวตอนแช่น้ำ เป็นกระบวนการหนึ่งของการปรับตัวเพื่อให้เราสามารถหยิบจับสิ่งของในน้ำได้ดีขึ้นต่างหาก

ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาว่า ปลายนิ้วที่เพิ่งขาดออกจากมือ เมื่อนำไปแช่น้ำก็หาได้มีการดูดน้ำจนเหี่ยวไม่ (ไม่ต้องห่วง ปลายนิ้วนี้ได้รับการเย็บกลับคืนมือเจ้าของอยางสวัสดิภาพในเวลาต่อมา) จึงสงสัยว่าแท้จริงแล้ว การที่นิ้วเหี่ยวนี้น่าจะเป็นเพราะกลไกการทำงานของเส้นประสาทที่นิ้วเสียมากกว่า ซึ่งส่งสัญญาณไปให้หลอดเลือดฝอยที่นิ้วมือตีบตัวลง เนื้อเยื่อบริเวณนั้นจึงดูเหี่ยวลงด้วย ซึ่งน่าจะเป็นไปเพราะการปรับตัวของร่างกายไปตามสภาพแวดล้อม ซึ่งในที่นี้คือการที่ร่างกายแช่อยู่ในน้ำนั่นเอง

ล้างมือ

การตั้งข้อสังเกตนี้ได้รับการทดลองโดยทีมนักวิจัยประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ได้ให้ผู้ร่วมทดลองได้หยิบจับสิ่งของต่าง ๆ กัน 45 ชนิด โดยมีทั้งของที่แห้งและเปียก จากกล่องหนึ่งไปใส่อีกกล่องหนึ่งผ่านรูที่เจาะไป โดยให้ผู้ร่วมทดลองกลุ่มหนึ่งหยิบสิ่งของด้วยมือที่แห้งตามปกติ ส่วนอีกกลุ่มได้ให้นำมือไปแช่น้ำไว้ก่อนเป็นเวลา 30 นาที เพื่อให้นิ้วมือมีรอยเหี่ยว ปรากฏว่า กลุ่มที่นิ้วมือมีรอยเหี่ยวสามารถหยิบจับและส่งผ่านสิ่งของต่าง ๆ ได้เร็วกว่ากลุ่มที่มือแห้งถึง 12% และผลการทดลองนี้ได้รับการรายงานในเว็บไซต์ Biology Letters เมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา

“ถึงแม้ว่าเวลาที่แต่ละคนใช้ในการหยิบจับสิ่งของจะแตกต่างกันออกไป แต่ก็เป็นที่น่าสนใจมาก ๆ ที่ผู้ที่มีนิ้วเหี่ยว ๆ ทุกคนสามารถหยิบจับสิ่งของที่เปียกชื้นได้เร็วกว่าเสมอ” ทอม สมัลเดอร์ส ผู้นำทีมการทดลองกล่าว

ส่วนเหตุผลที่ว่า ทำไมมือจึงไม่เหี่ยวตลอดเวลาเพื่อให้หยิบจับสิ่งของได้ดีกว่าเสมอ สมัลเดอร์ ก็คาดว่ามันอาจเกี่ยวเนื่องกับเหตุผลบางประการกับการรักษาระดับความไวต่อการรับความรู้สึกของนิ้วมือเอาไว้ก็ได้ ซึ่งจำเป็นจะต้องค้นคว้าอย่างลึกซึ้งกว่านี้เพื่อหาคำตอบต่อไป

คอน้ำอัดลมจงระวัง! หญิงนิวซีแลนด์ตายเพราะดื่มน้ำอัดลมวันละ 10 ลิตร

Posted: 30 Apr 2013 12:00 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

เว็บไซต์สตัฟฟ์ของนิวซีแลนด์ เปิดเผยเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ว่า คุณแม่ลูก 8 ชาวนิวซีแลนด์รายหนึ่ง เสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้น หลังเสพติดน้ำอัดลมถึงขั้นดื่มวันละ 10 ลิตร!!

รายงานระบุว่า คุณแม่รายนี้ คือ นางนาตาชา แฮร์ริส มีพฤติกรรมชอบดื่มน้ำอัดลมเป็นชีวิตจิตใจ โดยดื่มมากถึงวันละ 10 ลิตร ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอไม่เคยมีอาการผิดปกติทางสุขภาพเลย จนกระทั่งวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 2010 หัวใจเธอก็หยุดเต้นขณะที่เธอกำลังทำธุระอยู่ในห้องน้ำ และเสียชีวิตลง โดยที่นายคริสโตเฟอร์ ฮอดจ์กินสัน สามีของเธอมาพบเข้า ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตเธอพอดี

อย่างไรก็ดี แม้ว่าพฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลมที่มากเกินไปของเธอจะส่อเค้าให้เห็นว่าน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต แต่แพทย์ก็เดินหน้าชันสูตรศพเธอ และพบว่า เธอมีปัญหาสุขภาพหลายอย่าง มีตับขนาดใหญ่อันเนื่องมาจากไขมันสะสมจากการกินน้ำตาลเข้าไปในปริมาณมาก และหัวใจเต้นผิดปกติ ซึ่งการดื่มน้ำอัดลมในปริมาณมากเกินไป บวกกับปัจจัยทางสุขภาพอย่างอื่น น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ร่างกายเธอมีความผิดปกติดังกล่าว ก่อนที่เธอจะหัวใจวายและเสียชีวิต ซึ่งถ้าหากเธอไม่มีพฤติกรรมเสพติดน้ำอัดลมแบบนี้ เธอก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้

ด้านนายคริสโตเฟอร์ ฮอดจ์กินสัน สามีของเธอ ได้เปิดเผยว่า นาตาชา เสพติดน้ำอัดลมถึงขั้นหงุดหงิด ปวดหัว และรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงเลยถ้าหากไม่ได้ดื่มน้ำอัดลม และก่อนที่เธอจะเสียชีวิต เธอบ่นว่าหัวใจเต้นรัวด้วย ขณะที่ทางครอบครัวได้เปิดเผยว่า พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายของน้ำอัดลม เพราะไม่ได้ระบุคำเตือนใด ๆ ไว้ในบรรจุภัณฑ์

นอกจากนี้ รายงานยังระบุด้วยว่า นาตาชาต้องถอนฟันออกเพราะมีฟันผุหลายซี่ อีกทั้งพฤติกรรมการเสพติดน้ำอัดลมยังส่งผลให้ลูก ๆ ของเธอฟันผุง่าย และไม่มีเคลือบฟันด้วย

อย่างไรก็ดี ผลชันสูตรดังกล่าว ได้ทำให้ผู้ผลิตน้ำอัดลมเกิดความรู้สึกไม่เห็นด้วย เพราะสาเหตุการเสียชีวิตของนาตาชา อาจมาจากปัจจัยอย่างอื่นเป็นหลัก จนทำให้เธอเสียชีวิตก็ได้

Friday, April 26, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


5 อันตรายจากการใส่รองเท้าแตะ ที่สาว ๆ ควรรู้

Posted: 26 Apr 2013 09:03 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ไม่ว่าใคร ๆ ก็คงต้องมีรองเท้าแตะไว้ในครอบครองกันบ้าง อย่างน้อยก็คนละ 1 คู่ ยิ่งเป็นสาว ๆ ก็คงมีรองเท้าแตะแบบแฟชั่นกันอีกคนละหลายคู่ (ซึ่งส่วนใหญ่พื้นรองเท้ามักจะบาง และแข็ง) บางคนก็มีเตรียมไว้ที่ออฟฟิศสำหรับใส่สลับกับรองเท้าส้นสูงคู่สวยที่ใส่ไปทำงาน เพื่อจะได้เดินเหินไปไหนมาไหนได้สะดวกกว่า แต่ถ้าหากว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่สวมใส่รองเท้าแตะไปไหนมาไหนเป็นประจำ บางทีความคิดที่ว่ามันสวมง่ายใส่สบายอาจจะผิดไปเสียแล้ว การสวมใส่รองเท้าแตะเป็นประจำ และใส่ติดต่อกันยาวนานเกินไปก็สามารถเกิดโทษได้เช่นกันค่ะ แต่จะอย่างไรนั้น มาดูกันเลย

1. รองเท้าแตะรองรับเท้าได้ไม่ดีพอ

พื้นรองเท้าแตะมักจะแบนราบ ซึ่งไม่เข้ากับสรีระตามธรรมชาติของฝ่าเท้า มันจึงไม่สามารถรองรับฝ่าเท้าได้ดีเพียงพอ ทั้งวัสดุส่วนใหญ่ที่ใช้ยังทำมาจากยางที่ไม่เอื้อให้เกิดความรู้สึกสบายเท้ามากนัก จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดฝ่าเท้า และส้นเท้าตามมาได้

2. การสวมใส่รองเท้าแตะเปลือยเท้าของคุณมากเกินไป

รองเท้าแตะดูสวมใส่ง่าย สบาย ๆ เพราะมันเปลือยเท้าของคุณ แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เท้าได้สัมผัสกับสิ่งสกปรกได้เต็มที่อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นผง โคลน หรือน้ำขังจากพื้นถนน ทำให้อวัยวะที่รองรับน้ำหนัก และพาคุณเดินไปไหนมาไหนเสี่ยงต่อแบคทีเรียกว่า 15,000 ชนิด และหากมีบาดแผล หรือรอยขีดข่วนเกิดขึ้นที่เท้าก็จะยิ่งแย่ไปใหญ่

3. ทำให้มีโอกาสเสี่ยงจะประสบอันตรายสูงขึ้น

เพราะมันเป็นรองเท้าที่ไม่ได้สวมติดแน่นอยู่กับเท้าเหมือนกับรองเท้าหุ้มส้น รองเท้าแตะจึงสามารถเลื่อนหรือหลุดจากเท้าไปได้ง่าย ๆ ซึ่งนั่นทำให้คุณมีโอกาสเสี่ยงที่จะอาการบาดเจ็บของเท้า และยังเสี่ยงต่อบางอุบัติเหตุที่ร้ายแรงด้วย เช่น เมื่อรองเท้าหลุดขณะข้ามถนน ขณะกำลังขึ้น-ลงบันได ขณะกำลังก้าวขึ้นรถ หรือรองเท้าหลุดขณะขับรถ เป็นต้น

4. ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บของข้อเท้า สะโพก และหลัง

เนื่องจากพื้นรองเท้าแตะไม่สามารถรองรับฝ่าเท้าได้อย่างเหมาะสม ทำให้การวางเท้าของคุณจึงไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ทำให้ต้องเกร็งเท้า หรือเดินด้วยการวางเท้าที่ผิดรูป และเมื่อทำติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บของข้อเท้าและสะโพกได้ นอกจากนี้ยังอาจประสบปัญหาปวดหลังอีกด้วย

5. เกิดอาการปวดน่อง

พื้นที่ค่อนข้างแข็งของรองเท้าแตะทำให้เกิดแรงกดมากที่ฝ่าเท้าและส้นเท้า นอกจากทำให้ปวดฝ่าเท้าและรู้สึกร้าวที่ส้นแล้ว ยังทำให้เกิดอาการปวดน่องได้ด้วย

รองเท้าแตะอาจจะดูมีสีสัน ตามแฟชั่น และสวมใส่ง่ายสบายเท้า แต่หากคุณใส่มันเป็นประจำ และใส่ติดเท้าตลอดเวลาแล้วล่ะก็ มันก็เสี่ยงที่จะทำให้คุณเกิดอาการบาดเจ็บของฝ่าเท้า ส้นเท้า น่อง เอว และหลัง ตามมาได้ นอกจากนี้ยังเสี่ยงก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงบางประการด้วย

หากต้องการสวมใส่รองเท้าแตะ ควรเลือกรองเท้าที่ส้นไม่บาง ไม่นิ่มหรือแข็งเกินไป มีพื้นรองเท้าที่นูนกระชับเข้ากับสรีระของฝ่าเท้าเพื่อรับแรงกดของฝ่าเท้าได้ดี นอกจากนี้ก็ควรสลับสับเปลี่ยนกับการใส่รองเท้าประเภทอื่น ที่สามารถรองรับสรีระของเท้า และปกป้องเท้าได้ดีกว่าบ้างนะคะ

Saturday, April 20, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


โอกาสมีอยู่รอบตัวเสมอ แต่มันไม่ได้เข้ามาหาเราอยู่เสมอ เราต้องวิ่งไล่ตาม เพื่อไขว้คว้ามันเสียบ้าง

Posted: 20 Apr 2013 03:20 AM PDT

โอกาสมีอยู่รอบตัวเสมอ แต่มันไม่ได้เข้ามาหาเราอยู่เสมอ เราต้องวิ่งไล่ตาม เพื่อไขว้คว้ามันเสียบ้าง

โอกาสมีอยู่รอบตัวเสมอ

แต่มันไม่ได้เข้ามาหาเราอยู่เสมอ

เราต้องวิ่งไล่ตาม เพื่อไขว้คว้ามันเสียบ้าง

3 ข้อน่ารู้ เลี่ยงสารพิษในอาหาร ภัยร้ายใกล้ตัว

Posted: 19 Apr 2013 05:00 PM PDT

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

แน่ใจแล้วหรือว่า “อาหาร” ที่เราทานกันเข้าไปทุกวัน ๆ ปลอดภัยจากสารพิษอย่างแท้จริง เชื่อว่าทุกคนก็คงรู้แอยู่แล้วว่า อาหารพวกนี้ล้วนมีการเติมแต่งสารเคมีลงไปเกือบทั้งนั้น แต่ก็จำใจต้องทาน แม้จะรู้ดีว่า สารเคมีเหล่านี้ก็เป็นบ่อเกิดของโรคต่าง ๆ มากมายที่จะคุกคามสุขภาพของเราในระยะยาว

…แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ เพื่อหลีกเลี่ยงสารพิษในอาหารให้ได้มากที่สุด ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. มีคำแนะนำดี ๆ มาบอกกัน

3 ข้อน่ารู้ เลี่ยงสารพิษในอาหาร ภัยร้ายใกล้ตัว (สสส.) โดย ชัชวรรณ ปัญญาพยัตจาติ

“อาหารการกิน” คำโบร่ำโบราณที่กล่าวขานกันมานานในสังคมไทย อาจเป็นข้อบ่งชี้หนึ่งให้เห็นว่า เรื่องของ “อาหาร” และ “การกิน” นั้น แยกออกจากกันไม่ได้

ยิ่งได้กินอาหารอร่อยด้วยแล้ว แหม… อารมณ์นี้ มันช่าง “สุข” จังหนอ

หากแต่ ข้อมูลจากหนังสือ “เปลี่ยนได้ รวมข้อเสนอเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองผู้บริโภค” อาจทำให้ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นหายไป ด้วยข้อเท็จจริงที่ระบุว่า…

ปี พ.ศ. 2554 ข้อมูลของธนาคารโลกระบุว่า ไทยใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเป็นอันดับที่ 5 ของโลก คือ 0.86 กิโลกรัม/เฮกเตอร์ โดยอันดับที่ 1-4 ได้แก่ ฝรั่งเศส เวียดนาม สเปน และบราซิล

ส่วนรายงานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ไทยมีพื้นที่เกษตรกรรมเป็นอันดับที่ 48 ของโลก แต่นำเข้าสารเคมีทางการเกษตรสูงเป็นอันดับ 1

ขณะเดียวกัน เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 มีการสุ่มตรวจสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานในผักและผลไม้จาก 70 ประเทศที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ปรากฏว่าสินค้าจากประเทศไทยมีสารพิษตกค้างสูงสุดเป็นอันดับ 1 และถูกตรวจพบบ่อยครั้งที่สุดในโลก

นั่นหมายความว่า ทุกมื้อความ “อร่อย” ของอาหารที่กินกันเข้าไปในทุกวันนี้ มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเจือปนด้วยสารพิษปนเปื้อน และนี่อาจเป็นตัวการหนึ่ง ซึ่งก่อ “โรคมะเร็ง” และโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ ทำให้คนไทยป่วยเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี

พชร แกล้วกล้า ผู้ประสานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภค ความปลอดภัยด้านอาหารภาคประชาชน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า อัตราความเสี่ยงที่จะพบสารพิษในอาหาร ไม่ว่าจะผลิตที่ไหน จำหน่ายอย่างไร ไทยยังคงมีการปนเปื้อนทั้งทางด้านกายภาพ จุลินทรีย์ และสารเคมี อยู่ 1 ใน 3 ของภาพรวมในประเทศ

ส่วนด้านกายภาพนั้นหมายถึง เส้นผม เล็บ หรือแมลง ด้านจุลินทรีย์ ได้แก่ เชื้อที่ทำให้ก่อโรคต่อระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย สุดท้าย การใช้สารเคมีต่าง ๆ ในอาหาร อาทิ สารกันบูด สารกันรา และยาฆ่าแมลง ทั้งนี้ ไม่สามารถบอกได้ว่า พบการปนเปื้อนในผัก ผลไม้ เนื้อแดง หรืออาหารแปรรูปประเภทใดมากที่สุด แต่หากดูจากข่าวสถานการณ์ที่มีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ แล้ว จะพบว่า เรื่องของอาหารเป็นพิษพบบ่อยเป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว

1. มี “ฉลาก” ต้องอ่าน

การป้องกันเรื่องสารพิษในอาหาร อีกหนึ่งจอมวายร้ายใกล้ตัว “อยู่ที่ตัวเราเอง” โดยหลักการเบื้องต้น พชร แนะนำว่า หากซื้อสินค้าตามห้างสรรพสินค้า โดยมากแล้วจะมีฉลากหรือหีบห่อบรรจุภัณฑ์อยู่ อยากจะให้อ่านเสียก่อน เพราะบนฉลากหรือหีบห่อบรรจุภัณฑ์ พอที่จะให้ข้อมูลแก่เราได้ว่า สินค้าที่จะซื้อนั้น ผู้ผลิตคือใคร ผลิตจากไหน และผลิตด้วยกรรมวิธีการใด

“อย่างไรก็ตาม ผักสดและผลไม้ที่ขายกันอยู่ทั่วไปในตลาดสดนั้น ไม่มีบรรจุภัณฑ์มาด้วย สิ่งที่ต้องดูต่อไป จึงเป็นเรื่องทางกายภาพเพื่อประกอบการตัดสินใจ ไม่ควรเลือกซื้อผักหรือผลไม้สวย ๆ มารับประทาน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการปรุงแต่ง หรือมีการใช้สารเคมีในการปลูกค่อนข้างมาก ที่สำคัญคือ ควรล้างก่อนนำไปประกอบอาหาร และไม่นำมารับประทานกันอย่างดิบ ๆ แต่ควรนำไปลวก นึ่ง ต้ม หรือผัดก่อนทุกครั้ง วิธีการนี้จะช่วยลดสารตกค้างและสิ่งสกปรกที่มากับผัก ส่วนความร้อนจะช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ตัวการก่อโรคลงได้”

สำหรับเนื้อสัตว์สด ๆ นั้น ต้องระวังการใช้สารเร่งเนื้อแดง ดินประสิว และการใช้สารเพื่อคงความสดของอาหาร อาทิ การใช้ฟอร์มาลีน รวมถึงการใช้สารฟอกขาวในเครื่องในสัตว์

“เนื้อสดตามตลาดสดทั่วไป จะสังเกตได้ง่ายทั้งจากกลิ่นและจากการสัมผัสกับเนื้อสัตว์โดยตรง ถ้าลองกดดูเนื้อสัตว์ก็จะพอสังเกตได้ว่า เนื้อนั้นสดจริงหรือไม่ เพราะหากผ่านการแช่ฟอร์มาลีนมา เนื้อสัตว์จะเหลวและมีกลิ่นฉุน นอกจากนี้ ยังสามารถสังเกตความอนามัยของร้านได้ด้วยว่า สะอาดเกินไปหรือไม่ หากที่แผงขายไม่มีแมลงใด ๆ มาก่อกวนเลย ก็มีความเป็นไปได้ว่า เจ้าของร้านใช้สารเคมีบางอย่างในการป้องกันแมลงเหล่านี้ ซึ่งอาจทำให้สารเคมีนั้นปนเปื้อนเพิ่มมาในอาหารได้”

ทั้งนี้ ผู้บริโภคพึงตระหนักไว้ว่า อะไรที่เกินพอดี มีความสุดโต่งทั้งด้านรูปลักษณ์ของตัวอาหารและความสะอาดที่มากเกินไปนั้น ควรระวัง

2. “สำเร็จรูป” ต้องช่างสังเกต

จากรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ปัจจุบัน อาหารแปรรูปและอาหารกึ่งสำเร็จรูป จึงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความสะดวก กินง่าย รสชาติดี และใช้เวลาน้อย หากแต่ “แต่ละคำ” ที่กินเข้าไป สะสมโรคร้ายสู่ร่างกายไม่รู้ตัว

แฮม เบคอน ไส้กรอก และเนื้อสัตว์แปรรูปชนิดต่าง ๆ มักมีความเสี่ยงในการใช้วัตถุกันเสีย ซึ่งหลายครั้งพบว่า มีการใช้วัตถุกันเสียมากเกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ และการที่ได้รับสารกันบูดมากเกินไปนั้น ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานหนัก และอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้

“นอกจากนี้ ยังต้องระวังการใช้โซเดียมหรือเกลือในการแปรรูปไว้ด้วย หากกินบ่อย ๆ ต้องระวังตัวเองว่าจะได้รับสารจำพวกเกลือเข้าสู่ร่างกายมากเกินความต้องการ ทำให้ไตทำงานหนัก” คุณพชร กล่าว

ส่วนการใช้น้ำประสานทอง หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ “สารบอแรกซ์” สารเคมีสังเคราะห์ที่ถูกนำมาผสมในอาหาร เช่น ลูกชิ้น หมูยอ หรืออาหารชุบแป้งทอด ฯลฯ เพื่อให้มีความเหนียว กรุบกรอบ ชวนรับประทานด้วย เพราะแม้ปัจจุบัน จะมีปริมาณการใช้สารบอแรกซ์น้อยลง แต่ก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงอยู่

“ของทอดต่าง ๆ ที่ชอบซื้อกินกันข้างทาง นอกจากจะต้องระวังเรื่องการใช้สารบอแรกซ์ การใช้สารกันบูด และสีผสมอาหารแล้ว ยังต้องดูถึงน้ำมันที่ใช้ทอดด้วย เพราะการใช้น้ำมันทอดซ้ำในปัจจุบัน ไม่ได้ลดน้อยลงกว่าเมื่อก่อนเลย อีกทั้งจะดูจาก “สีของน้ำมัน” ก็ทำไม่ได้แล้ว จึงต้องสังเกตจาก “กลิ่น” ของอาหาร เพราะแม้สีจะดูใหม่ แต่เมื่อนำมาใช้ซ้ำ จะมีกลิ่นหืนค่อนข้างแรง”

3. “เลือกซื้อ” อย่าง “ฉลาด”

แม้ว่าจะมีการใช้สารเคมีกันอยู่มาก จนดูไม่มีความปลอดภัยทางด้านอาหารก็ตามที แต่เมื่ออาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต การวิตกกังวลจึงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น หากไร้ซึ่งความระวังและความตระหนักในตนเอง

นอกเหนือจากข้อมูลด้านบนที่กล่าวไป คุณพชร กล่าวเพิ่มว่า วิธีการในการดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากสารพิษในอาหาร เป็นปัญหาที่แก้ไขได้ด้วยตนเอง ยกตัวอย่างการกินผัก-ผลไม้ ที่ไม่ควรตามใจความอยาก แต่ควรเลือกกินผักและผลไม้ให้ตรงตามฤดูกาล ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อสารเคมีตกค้าง ส่วนอาหารแปรรูปนั้น ขอแค่อ่านฉลากอย่างละเอียด รู้ตัวว่ากำลังจะรับประทานอะไรเข้าไป มีส่วนประกอบของอะไรบ้าง ก็พอจะช่วยได้

หรือหากมีเวลาลองทำอาหารกินเอง ก็เป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่่ยงจากสารพิษปนเปื้อนในอาหารได้ ดังนั้น แค่รู้จักเลือกกินอย่าง ‘”ฉลาด” เรื่องอาหารการกิน ก็ยังเป็นอีกหนึ่งความสุขของชีวิตได้ค่ะ

เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สสส.