Tuesday, April 30, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


โพลชี้! คนกรุงมีความสุขที่สุดแค่ 7% ผู้หญิงอยากโสด – ผู้ชายไม่ผูกมัด

Posted: 30 Apr 2013 08:00 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

Life's Good Poll เผยแบบสำรวจความสุขของคนกรุงเทพฯ พบคนกรุงมีความสุขที่สุดแค่ 7% นอกนั้นมีความสุขปานกลาง ขณะที่ผู้หญิง 21% เลือกเป็นโสด และผู้ชาย 21% ไม่ชอบความสัมพันธ์แบบผูกมัด

บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมือกับ สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ทำแบบสำรวจความสุขของคนกรุงเทพฯ (Life's Good Poll) ในปี 2555 โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็น ชาย-หญิง อายุระหว่าง 20-45 ปี จำนวน 1,037 คน ระหว่างเดือน ตุลาคม–พฤศจิกายน 2555 โดยผลสำรวจมีดังนี้

ภาพรวมความสุขของคนกรุงเทพฯ ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.37

มีความสุขปานกลาง 54%
มีความสุขน้อยถึงน้อยที่สุด 39%
มีความสุขมากที่สุด 7%
โดยกลุ่มคนที่มีความสุขมากที่สุดคือ ช่วงอายุ 20-25 ปี

นิยามของชีวิตที่มีความสุข

อายุ 31 ปี ขึ้นไป คือ สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไร้โรคภัยไข้เจ็บ (26%)
อายุ 36 ปี คือ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน (25%)
อายุ 20-25 ปี คือ ได้ทำได้สิ่งที่ตัวเองรัก และใช้ชีวิตตามต้องการ และมีเพื่อนร่วมงานที่ดี (23%)

ขณะที่ความสุขด้านความสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์ที่ยืนยาว มีอนาคตร่วมกัน ร้อยละ 57% ทั้งนี้ มีผู้หญิง 21% เชื่อว่า การอยู่เป็นโสดจะมีความสุขมากกว่าการมีชีวิตคู่ ขณะที่ผู้ชาย 21% ไม่ต้องการมีความสัมพันธ์แบบผูกมัด

สำหรับทัศนคติที่มีต่อเทคโนโลยีและนวัตกรรม 32% บอกว่าโทรศัพท์มือถือคือความสุขอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ โทรทัศน์ 24% และโน้ตบุ๊ก19%

นอกจากนี้คนกรุงเทพฯ จะมีความสุขมากขึ้นเมื่อปัญหาด้านเศรษฐกิจและค่าครองชีพได้รับการแก้ไข คิดเป็น 32% และปัญหาด้านการเมือง คอร์รัปชั่น และความสามัคคีภายในชาติ ที่ได้รับการแก้ไข 16% โดยมี 35% เชื่อว่าการเปิดประชาคมอาเซียน (AEC) คนไทยจะเสียเปรียบ และอีก 12% ไม่รู้จักประชาคมอาเซียนเลย

สถิติน่าสนใจ…ทัศนคติเรื่องลดน้ำหนักของคนทั่วโลก

Posted: 30 Apr 2013 06:00 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ในปัจจุบัน ทั้งชายและหญิงต่างหันมาให้ความใส่ใจกับรูปร่างตัวเองมากขึ้น และกลายเป็นกระแสที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนจำนวนมาก ที่มีปัญหาในเรื่องน้ำหนักตัว และลดน้ำหนักด้วยวิธีการผิด ๆ เช่น ดูดไขมัน หรือ กินยาลดความอ้วน วันนี้ กระปุกดอทคอม ได้รวบรวมสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับทัศนคติของผู้คนทั่วโลกต่อรูปร่างและการลดน้ำหนัก มาฝากกันจ้า

ประเทศที่ประชาชนตระหนักถึงพิษภัยของโรคอ้วนมากที่สุด : ฟินแลนด์

ในช่วงปี 1970 ประเทศฟินแลนด์มีจำนวนผู้ที่เสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงที่สุดในโลก ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข จึงมีการออกแคมเปญ เพื่อให้ความรู้กับประชาชนเรื่องโภชนาการ การออกกำลังกาย และพิษภัยจากการสูบบุหรี่ และนั่นช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจในกลุ่มคนวัยทำงานได้สูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ตลอดเวลา 30 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังทำให้คนฟินแลนด์ มีอายุโดยเฉลี่ยยืนยาวขึ้นอีก 10 ปีด้วย

ทั้งนี้ หนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จ คือ การแข่งขัน “ยิ่งลดยิ่งได้โชค” โดยในแต่ละเมืองจะมีการจัดการแข่งขันชิงรางวัล โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องมีคนที่หยุดสูบบุหรี่ให้ได้มากที่สุด หรือลดคลอเรสเตอรอลให้ได้เยอะที่สุด หรือว่าลดพุงไปได้กี่นิ้ว

ประเทศที่คนรู้สึกกดดันว่า “อยากจะผอม” มากที่สุด : บราซิล

ในกรุงริโอ เดอจาเนโร ผู้คนต่างคาดหวังว่า ตัวเองจะต้องใส่เสื้อผ้าให้น้อยชิ้นที่สุดในเทศกาลคาร์นิวัล หรือ ตอนไปเดินเล่นบนชายหาด ดังนั้น จึงเกิดค่านิยมที่ว่าตนเองต้องรูปร่างดีที่สุด และไม่กลัวหากถูกจับตามอง โดยจากการสำรวจพบว่า ชาวบราซิลกว่า 83 เปอร์เซ็นต์ คิดว่า สังคมให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของน้ำหนักมากเกินไป ผู้ชาย 77 เปอร์เซ็นต์ และผู้หญิง 89 เปอร์เซ็นต์ ต่างรู้สึกกดดันที่ต้องทำให้ตัวเองมีรูปร่างสวยเช้ง และนั่นทำให้เกิดเทรนด์ใหม่ ๆ ในบราซิล ทั้งจำนวนของประชากรที่กินยาลดความอ้วนเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 2001 -2005 ธุรกิจศัลยกรรมเพื่อความงามได้รับความนิยมอย่าล้นหลาม แม้กระทั่งคุณหมอ ยังมีโปรแกรมดูดไขมันออกจากนิ้วเท้า

ประเทศที่ภรรยาต้องการให้สามีลดน้ำหนักมากที่สุด : สหรัฐอเมริกา

กว่า 51 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วในสหรัฐอเมริกา หวังว่า สามีของพวกเธอจะมีรูปร่างที่ผอมลง และผู้ชายกว่า 47 เปอร์เซ็นต์ ก็หวังว่าภรรยาของตัวเองจะผอมลงเช่นกัน แต่สิ่งที่น่าขันคือ ผู้หญิง 68 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่า วัฒนธรรมอเมริกัน ให้ความสำคัญกับเรื่องน้ำหนักมากเกินควร และพวกเธอก็รับได้ หากผู้ชายจะมีรูปร่างลงพุง ตราบใดที่คน ๆ นั้น ไม่ใช่สามีของตัวเอง

ประเทศที่สามีต้องการให้ภรรยาลดน้ำหนักมากที่สุด : อินเดีย

กว่า 48 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชายอินเดีย ยอมรับว่า พวกเขาไม่ค่อยพอใจกับรูปร่างของภรรยา ในขณะที่ 46 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงอินเดีย ก็กล่าวว่า ตัวเองไม่พอใจกับรูปร่างของสามีเช่นกัน แต่หากจะมองในด้านดี ทั้งชายและหญิงต่างไม่พอใจในรูปร่างของคู่ชีวิตในระดับที่เท่า ๆ กัน ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกา ผู้ชายกว่า 47 เปอร์เซ็นต์คาดหวังว่า ภรรยาตัวเองจะผอมลงกว่านี้

ประเทศที่ไม่ว่าคุณจะมีรูปร่างแบบไหน เขาก็ยังรักคุณ : ฮังการี

คนฮังการีต่างรู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องกดดันในเรื่องรูปร่าง ไม่ว่าสังคมจะมองมายังไง โดยมีเพียง 28 เปอร์เซ็นต์ที่มองว่า สังคมให้ความสำคัญกับเรื่องของน้ำหนักมากจนเกินไป และผู้ชายที่แต่งงานแล้วต่างพอใจกับรูปร่างของภรรยาตัวเอง มีผู้ชายฮังการีแค่ 11 เปอร์เซ็นต์ และผู้หญิงอีก 14 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่อยากให้คู่รักของตัวเองขจัดน้ำหนักส่วนเกินออกไป

ประเทศที่มีคนกินยาลดความอ้วนมากที่สุด : จีน

คนจีนกว่า 37 เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่าตัวเองกินยาลดความอ้วน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความกังวลในเรื่องรูปร่างกำลังแพร่ขยายไปทั่วประเทศจีน และคนก็มองว่า การทานยาลดความอ้วนถือเป็นเทรนด์ และเป็นวิธีการลดความอ้วนที่ได้ผลอย่างรวดเร็ว แต่ยาลดความอ้วนเหล่านี้ต่างเป็นอันตราย บางครั้งก็มีโทษถึงแก่ชีวิต แม้แต่โรงงานผลิตก็ยังไม่ได้มาตรฐาน

จากผลการสำรวจ พบว่า ผู้หญิงในทุกประเทศมีแนวโน้มใช้ยาลดความอ้วนมากกว่าผู้ชาย แต่ประเทศที่คนหันหน้าเข้าหายาลดความอ้วนเร็วที่สุดนั้น คือ บราซิล (30 เปอร์เซ็นต์) รัสเซีย (24 เปอร์เซ็นต์) และเม็กซิโก (23 เปอร์เซ็นต์)

ประเทศที่คนไม่สนใจจะลดน้ำหนักตามคำสั่งแพทย์มากที่สุด : สวิตเซอร์แลนด์

เมื่อเราถามผู้คนทั่วโลกเกี่ยวกับเหตุผลที่พวกเขาพยายามลดน้ำหนัก ปรากฏว่า การลดน้ำหนักตามคำสั่งของแพทย์ ถือเป็นเหตุผลที่คนเลือกน้อย และคนสวิตเซอร์แลนด์เอง ให้ความสำคัญกับคำสั่งแพทย์น้อยที่สุด มีเพียง 11 เปอร์เซ็นต์ที่บอกว่า ยอมลดน้ำหนักตามคำสั่งแพทย์ ในขณะที่คนเม็กซิกันกว่า 46 เปอร์เซ็นต์ และคนฝรั่งเศสกว่า 39 เปอร์เซ็นต์ ให้ความใส่ใจกับคำสั่งของหมอมากที่สุด

ประเทศที่คนสูบบุหรี่เพื่อลดน้ำหนักมากที่สุด : รัสเซีย

การสูบบุหรี่ เพื่อให้ตัวเองอยากอาหารน้อยลง ถือเป็นค่านิยมผิด ๆ ในสังคมทั่วโลก แต่นิสัยการสูบบุหรี่ ก็ยังเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย โดยผู้ชายรัสเซียกว่า 23 เปอร์เซ็นต์ และผู้หญิงกว่า 18 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่า ตนเองสูบบุหรี่เพื่อจุดประสงค์ในการลดน้ำหนัก และยังมีคนในชาติอื่น ๆ ที่มีค่านิยมแบบนี้ ทั้งฟิลิปปินส์ จีน และเม็กซิโกด้วย

ประเทศที่คนบอกว่า ขาดแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนักมากที่สุด : ฟิลิปปินส์

คนฟิลิปปินส์กว่า 95 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่า พวกเขาชอบทานอาหารดี ๆ และคนกว่า 82 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่า พวกเขาไม่มีแรงบันดาลใจในการลดการกินอาหาร มีเพียง 38 เปอร์เซ็นต์ที่บอกว่า พวกเขาพยายามจะลดน้ำหนัก

ประเทศที่คนโทษว่าน้ำหนักเกินเป็นเพราะพันธุกรรมมากที่สุด : รัสเซีย

คนรัสเซียกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ชี้ว่า เหตุผลที่พวกเขาอ้วนนั้น เป็นเพราะกรรมพันธุ์ ในขณะที่คนเยอรมันกว่า 61 เปอร์เซ็นต์ และคนอินเดียกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ก็อ้างแบบนี้เช่นกัน

ประเทศที่คนโทษค่านิยมการกินจากอเมริกามากที่สุด : ฝรั่งเศส

จากผลการสำรวจพบว่า คนฝรั่งเศสมองว่า ค่านิยมการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดจากอเมริกา เป็นเหตุให้พวกเขาน้ำหนักเกิน แต่คนอเมริกัน 75 เปอร์เซ็นต์ก็เห็นว่า การกินอาหารจังก์ฟู้ดเป็นสาเหตุของความอ้วน

ประเทศที่คนลดน้ำหนักได้ถูกวิธีมากที่สุด : เม็กซิโก

คนเม็กซิกันกว่า 93 เปอร์เซ็นต์ หันมารับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อการลดน้ำหนัก และอีก 86 เปอร์เซ็นต์ ก็พยายามออกกำลังกายมากขึ้น ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากกว่าทุกประเทศที่มีการสำรวจ คนเม็กซิกันรู้วิธีการลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง แม้ว่าพวกเขาจะไม่จำเป็นต้องปฏิบัติก็ตาม

ประเทศที่คนอยากลดน้ำหนักเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากที่สุด : อินเดีย

กว่า 67 เปอร์เซ็นต์ของคนอินเดีย กล่าวว่า ความอ้วนเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในอาชีพ โดยคนกว่า 41 เปอร์เซ็นต์เห็นว่า ความต้องการที่จะเลื่อนตำแหน่ง เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการลดน้ำหนัก และนี่เป็นหนึ่งตัวอย่างจากจำนวนไม่มาก ที่ผู้ชาย (52 เปอร์เซ็นต์) รู้สึกถึงความกดดันในเรื่องการลดน้ำหนัก มากกว่าผู้หญิง (31 เปอร์เซ็นต์) และความอ้วน ไม่ได้ส่งผลต่อหน้าที่การงานแค่อินเดียเพียงแห่งเดียว ประเทศเยอรมนีและฟิลิปปินส์ ต่างก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน

ประเทศที่ผู้หญิงต้องต่อสู้กับความอ้วนอย่างหนักมากที่สุด : สหรัฐอเมริกา

คนเกือบทุกประเทศมองว่า การที่มีน้ำหนักมากเกินไปถือเป็นเรื่องที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม แต่ก็มีคนในบางประเทศที่มองต่างออกไป โดยคนจีนกว่า 57 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่า ความอ้วนไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการมีเซ็กส์ และในสหรัฐอเมริกา คนที่ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า ความอ้วนเป็นอุปสรรคสำหรับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงกว่า 58 เปอร์เซ็นต์ และผู้ชายอีก 37 เปอร์เซ็นต์ เห็นตรงกันในเรื่องนี้

ประเทศที่คนมองว่า ความอ้วนเข้ามาทำลายชีวิตเซ็กส์ของตัวเอง มากที่สุด : ออสเตรเลีย และเม็กซิโก

กว่า 52 เปอร์เซ็นต์ของคนออสเตรเลีย และคนเม็กซิกัน กล่าวว่า ความอ้วนทำให้พวกเขาไม่มีความสุขเกี่ยวกับเซ็กส์ และคนรัสเซียกว่า 51 เปอร์เซ็นต์ ก็เห็นด้วยในเรื่องนี้ ในขณะที่คนฮังการีเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ และคนเนเธอร์แลนด์อีก 18 เปอร์เซ็นต์ คือสองประเทศที่มองว่า ความอ้วนเป็นปัญหาต่อชีวิตเซ็กส์น้อยที่สุด

ทฤษฎีใหม่ ว่าด้วยทำไมนิ้วมือที่แช่น้ำจึงเหี่ยว

Posted: 30 Apr 2013 04:00 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ความรู้เก่า ๆ ที่เราได้ยินได้ฟัง (ที่ได้เรียนมาก็บอกอย่างนั้นเหมือนกัน) ว่าด้วยสาเหตุที่ทำให้ผิวเหี่ยวหากแช่น้ำนานก็คือ ผิวชั้นนอกเกิดการออสโมซิส ขยายตัวมากเสียจนเหี่ยวย่นอย่างที่เห็น .. ฟังดูสมเหตุสมผล และน่าเชื่อถือดีแล้ว แต่ก็มีการวิจัยล่าสุดเสนอแนวคิดมาใหม่ว่า การที่นิ้วเหี่ยวตอนแช่น้ำ เป็นกระบวนการหนึ่งของการปรับตัวเพื่อให้เราสามารถหยิบจับสิ่งของในน้ำได้ดีขึ้นต่างหาก

ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาว่า ปลายนิ้วที่เพิ่งขาดออกจากมือ เมื่อนำไปแช่น้ำก็หาได้มีการดูดน้ำจนเหี่ยวไม่ (ไม่ต้องห่วง ปลายนิ้วนี้ได้รับการเย็บกลับคืนมือเจ้าของอยางสวัสดิภาพในเวลาต่อมา) จึงสงสัยว่าแท้จริงแล้ว การที่นิ้วเหี่ยวนี้น่าจะเป็นเพราะกลไกการทำงานของเส้นประสาทที่นิ้วเสียมากกว่า ซึ่งส่งสัญญาณไปให้หลอดเลือดฝอยที่นิ้วมือตีบตัวลง เนื้อเยื่อบริเวณนั้นจึงดูเหี่ยวลงด้วย ซึ่งน่าจะเป็นไปเพราะการปรับตัวของร่างกายไปตามสภาพแวดล้อม ซึ่งในที่นี้คือการที่ร่างกายแช่อยู่ในน้ำนั่นเอง

ล้างมือ

การตั้งข้อสังเกตนี้ได้รับการทดลองโดยทีมนักวิจัยประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ได้ให้ผู้ร่วมทดลองได้หยิบจับสิ่งของต่าง ๆ กัน 45 ชนิด โดยมีทั้งของที่แห้งและเปียก จากกล่องหนึ่งไปใส่อีกกล่องหนึ่งผ่านรูที่เจาะไป โดยให้ผู้ร่วมทดลองกลุ่มหนึ่งหยิบสิ่งของด้วยมือที่แห้งตามปกติ ส่วนอีกกลุ่มได้ให้นำมือไปแช่น้ำไว้ก่อนเป็นเวลา 30 นาที เพื่อให้นิ้วมือมีรอยเหี่ยว ปรากฏว่า กลุ่มที่นิ้วมือมีรอยเหี่ยวสามารถหยิบจับและส่งผ่านสิ่งของต่าง ๆ ได้เร็วกว่ากลุ่มที่มือแห้งถึง 12% และผลการทดลองนี้ได้รับการรายงานในเว็บไซต์ Biology Letters เมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา

“ถึงแม้ว่าเวลาที่แต่ละคนใช้ในการหยิบจับสิ่งของจะแตกต่างกันออกไป แต่ก็เป็นที่น่าสนใจมาก ๆ ที่ผู้ที่มีนิ้วเหี่ยว ๆ ทุกคนสามารถหยิบจับสิ่งของที่เปียกชื้นได้เร็วกว่าเสมอ” ทอม สมัลเดอร์ส ผู้นำทีมการทดลองกล่าว

ส่วนเหตุผลที่ว่า ทำไมมือจึงไม่เหี่ยวตลอดเวลาเพื่อให้หยิบจับสิ่งของได้ดีกว่าเสมอ สมัลเดอร์ ก็คาดว่ามันอาจเกี่ยวเนื่องกับเหตุผลบางประการกับการรักษาระดับความไวต่อการรับความรู้สึกของนิ้วมือเอาไว้ก็ได้ ซึ่งจำเป็นจะต้องค้นคว้าอย่างลึกซึ้งกว่านี้เพื่อหาคำตอบต่อไป

คอน้ำอัดลมจงระวัง! หญิงนิวซีแลนด์ตายเพราะดื่มน้ำอัดลมวันละ 10 ลิตร

Posted: 30 Apr 2013 12:00 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

เว็บไซต์สตัฟฟ์ของนิวซีแลนด์ เปิดเผยเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ว่า คุณแม่ลูก 8 ชาวนิวซีแลนด์รายหนึ่ง เสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้น หลังเสพติดน้ำอัดลมถึงขั้นดื่มวันละ 10 ลิตร!!

รายงานระบุว่า คุณแม่รายนี้ คือ นางนาตาชา แฮร์ริส มีพฤติกรรมชอบดื่มน้ำอัดลมเป็นชีวิตจิตใจ โดยดื่มมากถึงวันละ 10 ลิตร ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอไม่เคยมีอาการผิดปกติทางสุขภาพเลย จนกระทั่งวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 2010 หัวใจเธอก็หยุดเต้นขณะที่เธอกำลังทำธุระอยู่ในห้องน้ำ และเสียชีวิตลง โดยที่นายคริสโตเฟอร์ ฮอดจ์กินสัน สามีของเธอมาพบเข้า ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตเธอพอดี

อย่างไรก็ดี แม้ว่าพฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลมที่มากเกินไปของเธอจะส่อเค้าให้เห็นว่าน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต แต่แพทย์ก็เดินหน้าชันสูตรศพเธอ และพบว่า เธอมีปัญหาสุขภาพหลายอย่าง มีตับขนาดใหญ่อันเนื่องมาจากไขมันสะสมจากการกินน้ำตาลเข้าไปในปริมาณมาก และหัวใจเต้นผิดปกติ ซึ่งการดื่มน้ำอัดลมในปริมาณมากเกินไป บวกกับปัจจัยทางสุขภาพอย่างอื่น น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ร่างกายเธอมีความผิดปกติดังกล่าว ก่อนที่เธอจะหัวใจวายและเสียชีวิต ซึ่งถ้าหากเธอไม่มีพฤติกรรมเสพติดน้ำอัดลมแบบนี้ เธอก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้

ด้านนายคริสโตเฟอร์ ฮอดจ์กินสัน สามีของเธอ ได้เปิดเผยว่า นาตาชา เสพติดน้ำอัดลมถึงขั้นหงุดหงิด ปวดหัว และรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงเลยถ้าหากไม่ได้ดื่มน้ำอัดลม และก่อนที่เธอจะเสียชีวิต เธอบ่นว่าหัวใจเต้นรัวด้วย ขณะที่ทางครอบครัวได้เปิดเผยว่า พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายของน้ำอัดลม เพราะไม่ได้ระบุคำเตือนใด ๆ ไว้ในบรรจุภัณฑ์

นอกจากนี้ รายงานยังระบุด้วยว่า นาตาชาต้องถอนฟันออกเพราะมีฟันผุหลายซี่ อีกทั้งพฤติกรรมการเสพติดน้ำอัดลมยังส่งผลให้ลูก ๆ ของเธอฟันผุง่าย และไม่มีเคลือบฟันด้วย

อย่างไรก็ดี ผลชันสูตรดังกล่าว ได้ทำให้ผู้ผลิตน้ำอัดลมเกิดความรู้สึกไม่เห็นด้วย เพราะสาเหตุการเสียชีวิตของนาตาชา อาจมาจากปัจจัยอย่างอื่นเป็นหลัก จนทำให้เธอเสียชีวิตก็ได้

Friday, April 26, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


5 อันตรายจากการใส่รองเท้าแตะ ที่สาว ๆ ควรรู้

Posted: 26 Apr 2013 09:03 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ไม่ว่าใคร ๆ ก็คงต้องมีรองเท้าแตะไว้ในครอบครองกันบ้าง อย่างน้อยก็คนละ 1 คู่ ยิ่งเป็นสาว ๆ ก็คงมีรองเท้าแตะแบบแฟชั่นกันอีกคนละหลายคู่ (ซึ่งส่วนใหญ่พื้นรองเท้ามักจะบาง และแข็ง) บางคนก็มีเตรียมไว้ที่ออฟฟิศสำหรับใส่สลับกับรองเท้าส้นสูงคู่สวยที่ใส่ไปทำงาน เพื่อจะได้เดินเหินไปไหนมาไหนได้สะดวกกว่า แต่ถ้าหากว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่สวมใส่รองเท้าแตะไปไหนมาไหนเป็นประจำ บางทีความคิดที่ว่ามันสวมง่ายใส่สบายอาจจะผิดไปเสียแล้ว การสวมใส่รองเท้าแตะเป็นประจำ และใส่ติดต่อกันยาวนานเกินไปก็สามารถเกิดโทษได้เช่นกันค่ะ แต่จะอย่างไรนั้น มาดูกันเลย

1. รองเท้าแตะรองรับเท้าได้ไม่ดีพอ

พื้นรองเท้าแตะมักจะแบนราบ ซึ่งไม่เข้ากับสรีระตามธรรมชาติของฝ่าเท้า มันจึงไม่สามารถรองรับฝ่าเท้าได้ดีเพียงพอ ทั้งวัสดุส่วนใหญ่ที่ใช้ยังทำมาจากยางที่ไม่เอื้อให้เกิดความรู้สึกสบายเท้ามากนัก จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดฝ่าเท้า และส้นเท้าตามมาได้

2. การสวมใส่รองเท้าแตะเปลือยเท้าของคุณมากเกินไป

รองเท้าแตะดูสวมใส่ง่าย สบาย ๆ เพราะมันเปลือยเท้าของคุณ แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เท้าได้สัมผัสกับสิ่งสกปรกได้เต็มที่อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นผง โคลน หรือน้ำขังจากพื้นถนน ทำให้อวัยวะที่รองรับน้ำหนัก และพาคุณเดินไปไหนมาไหนเสี่ยงต่อแบคทีเรียกว่า 15,000 ชนิด และหากมีบาดแผล หรือรอยขีดข่วนเกิดขึ้นที่เท้าก็จะยิ่งแย่ไปใหญ่

3. ทำให้มีโอกาสเสี่ยงจะประสบอันตรายสูงขึ้น

เพราะมันเป็นรองเท้าที่ไม่ได้สวมติดแน่นอยู่กับเท้าเหมือนกับรองเท้าหุ้มส้น รองเท้าแตะจึงสามารถเลื่อนหรือหลุดจากเท้าไปได้ง่าย ๆ ซึ่งนั่นทำให้คุณมีโอกาสเสี่ยงที่จะอาการบาดเจ็บของเท้า และยังเสี่ยงต่อบางอุบัติเหตุที่ร้ายแรงด้วย เช่น เมื่อรองเท้าหลุดขณะข้ามถนน ขณะกำลังขึ้น-ลงบันได ขณะกำลังก้าวขึ้นรถ หรือรองเท้าหลุดขณะขับรถ เป็นต้น

4. ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บของข้อเท้า สะโพก และหลัง

เนื่องจากพื้นรองเท้าแตะไม่สามารถรองรับฝ่าเท้าได้อย่างเหมาะสม ทำให้การวางเท้าของคุณจึงไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ทำให้ต้องเกร็งเท้า หรือเดินด้วยการวางเท้าที่ผิดรูป และเมื่อทำติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บของข้อเท้าและสะโพกได้ นอกจากนี้ยังอาจประสบปัญหาปวดหลังอีกด้วย

5. เกิดอาการปวดน่อง

พื้นที่ค่อนข้างแข็งของรองเท้าแตะทำให้เกิดแรงกดมากที่ฝ่าเท้าและส้นเท้า นอกจากทำให้ปวดฝ่าเท้าและรู้สึกร้าวที่ส้นแล้ว ยังทำให้เกิดอาการปวดน่องได้ด้วย

รองเท้าแตะอาจจะดูมีสีสัน ตามแฟชั่น และสวมใส่ง่ายสบายเท้า แต่หากคุณใส่มันเป็นประจำ และใส่ติดเท้าตลอดเวลาแล้วล่ะก็ มันก็เสี่ยงที่จะทำให้คุณเกิดอาการบาดเจ็บของฝ่าเท้า ส้นเท้า น่อง เอว และหลัง ตามมาได้ นอกจากนี้ยังเสี่ยงก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงบางประการด้วย

หากต้องการสวมใส่รองเท้าแตะ ควรเลือกรองเท้าที่ส้นไม่บาง ไม่นิ่มหรือแข็งเกินไป มีพื้นรองเท้าที่นูนกระชับเข้ากับสรีระของฝ่าเท้าเพื่อรับแรงกดของฝ่าเท้าได้ดี นอกจากนี้ก็ควรสลับสับเปลี่ยนกับการใส่รองเท้าประเภทอื่น ที่สามารถรองรับสรีระของเท้า และปกป้องเท้าได้ดีกว่าบ้างนะคะ

Saturday, April 20, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


โอกาสมีอยู่รอบตัวเสมอ แต่มันไม่ได้เข้ามาหาเราอยู่เสมอ เราต้องวิ่งไล่ตาม เพื่อไขว้คว้ามันเสียบ้าง

Posted: 20 Apr 2013 03:20 AM PDT

โอกาสมีอยู่รอบตัวเสมอ แต่มันไม่ได้เข้ามาหาเราอยู่เสมอ เราต้องวิ่งไล่ตาม เพื่อไขว้คว้ามันเสียบ้าง

โอกาสมีอยู่รอบตัวเสมอ

แต่มันไม่ได้เข้ามาหาเราอยู่เสมอ

เราต้องวิ่งไล่ตาม เพื่อไขว้คว้ามันเสียบ้าง

3 ข้อน่ารู้ เลี่ยงสารพิษในอาหาร ภัยร้ายใกล้ตัว

Posted: 19 Apr 2013 05:00 PM PDT

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

แน่ใจแล้วหรือว่า “อาหาร” ที่เราทานกันเข้าไปทุกวัน ๆ ปลอดภัยจากสารพิษอย่างแท้จริง เชื่อว่าทุกคนก็คงรู้แอยู่แล้วว่า อาหารพวกนี้ล้วนมีการเติมแต่งสารเคมีลงไปเกือบทั้งนั้น แต่ก็จำใจต้องทาน แม้จะรู้ดีว่า สารเคมีเหล่านี้ก็เป็นบ่อเกิดของโรคต่าง ๆ มากมายที่จะคุกคามสุขภาพของเราในระยะยาว

…แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ เพื่อหลีกเลี่ยงสารพิษในอาหารให้ได้มากที่สุด ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. มีคำแนะนำดี ๆ มาบอกกัน

3 ข้อน่ารู้ เลี่ยงสารพิษในอาหาร ภัยร้ายใกล้ตัว (สสส.) โดย ชัชวรรณ ปัญญาพยัตจาติ

“อาหารการกิน” คำโบร่ำโบราณที่กล่าวขานกันมานานในสังคมไทย อาจเป็นข้อบ่งชี้หนึ่งให้เห็นว่า เรื่องของ “อาหาร” และ “การกิน” นั้น แยกออกจากกันไม่ได้

ยิ่งได้กินอาหารอร่อยด้วยแล้ว แหม… อารมณ์นี้ มันช่าง “สุข” จังหนอ

หากแต่ ข้อมูลจากหนังสือ “เปลี่ยนได้ รวมข้อเสนอเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองผู้บริโภค” อาจทำให้ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นหายไป ด้วยข้อเท็จจริงที่ระบุว่า…

ปี พ.ศ. 2554 ข้อมูลของธนาคารโลกระบุว่า ไทยใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเป็นอันดับที่ 5 ของโลก คือ 0.86 กิโลกรัม/เฮกเตอร์ โดยอันดับที่ 1-4 ได้แก่ ฝรั่งเศส เวียดนาม สเปน และบราซิล

ส่วนรายงานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ไทยมีพื้นที่เกษตรกรรมเป็นอันดับที่ 48 ของโลก แต่นำเข้าสารเคมีทางการเกษตรสูงเป็นอันดับ 1

ขณะเดียวกัน เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 มีการสุ่มตรวจสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานในผักและผลไม้จาก 70 ประเทศที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ปรากฏว่าสินค้าจากประเทศไทยมีสารพิษตกค้างสูงสุดเป็นอันดับ 1 และถูกตรวจพบบ่อยครั้งที่สุดในโลก

นั่นหมายความว่า ทุกมื้อความ “อร่อย” ของอาหารที่กินกันเข้าไปในทุกวันนี้ มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเจือปนด้วยสารพิษปนเปื้อน และนี่อาจเป็นตัวการหนึ่ง ซึ่งก่อ “โรคมะเร็ง” และโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ ทำให้คนไทยป่วยเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี

พชร แกล้วกล้า ผู้ประสานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภค ความปลอดภัยด้านอาหารภาคประชาชน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า อัตราความเสี่ยงที่จะพบสารพิษในอาหาร ไม่ว่าจะผลิตที่ไหน จำหน่ายอย่างไร ไทยยังคงมีการปนเปื้อนทั้งทางด้านกายภาพ จุลินทรีย์ และสารเคมี อยู่ 1 ใน 3 ของภาพรวมในประเทศ

ส่วนด้านกายภาพนั้นหมายถึง เส้นผม เล็บ หรือแมลง ด้านจุลินทรีย์ ได้แก่ เชื้อที่ทำให้ก่อโรคต่อระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย สุดท้าย การใช้สารเคมีต่าง ๆ ในอาหาร อาทิ สารกันบูด สารกันรา และยาฆ่าแมลง ทั้งนี้ ไม่สามารถบอกได้ว่า พบการปนเปื้อนในผัก ผลไม้ เนื้อแดง หรืออาหารแปรรูปประเภทใดมากที่สุด แต่หากดูจากข่าวสถานการณ์ที่มีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ แล้ว จะพบว่า เรื่องของอาหารเป็นพิษพบบ่อยเป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว

1. มี “ฉลาก” ต้องอ่าน

การป้องกันเรื่องสารพิษในอาหาร อีกหนึ่งจอมวายร้ายใกล้ตัว “อยู่ที่ตัวเราเอง” โดยหลักการเบื้องต้น พชร แนะนำว่า หากซื้อสินค้าตามห้างสรรพสินค้า โดยมากแล้วจะมีฉลากหรือหีบห่อบรรจุภัณฑ์อยู่ อยากจะให้อ่านเสียก่อน เพราะบนฉลากหรือหีบห่อบรรจุภัณฑ์ พอที่จะให้ข้อมูลแก่เราได้ว่า สินค้าที่จะซื้อนั้น ผู้ผลิตคือใคร ผลิตจากไหน และผลิตด้วยกรรมวิธีการใด

“อย่างไรก็ตาม ผักสดและผลไม้ที่ขายกันอยู่ทั่วไปในตลาดสดนั้น ไม่มีบรรจุภัณฑ์มาด้วย สิ่งที่ต้องดูต่อไป จึงเป็นเรื่องทางกายภาพเพื่อประกอบการตัดสินใจ ไม่ควรเลือกซื้อผักหรือผลไม้สวย ๆ มารับประทาน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการปรุงแต่ง หรือมีการใช้สารเคมีในการปลูกค่อนข้างมาก ที่สำคัญคือ ควรล้างก่อนนำไปประกอบอาหาร และไม่นำมารับประทานกันอย่างดิบ ๆ แต่ควรนำไปลวก นึ่ง ต้ม หรือผัดก่อนทุกครั้ง วิธีการนี้จะช่วยลดสารตกค้างและสิ่งสกปรกที่มากับผัก ส่วนความร้อนจะช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ตัวการก่อโรคลงได้”

สำหรับเนื้อสัตว์สด ๆ นั้น ต้องระวังการใช้สารเร่งเนื้อแดง ดินประสิว และการใช้สารเพื่อคงความสดของอาหาร อาทิ การใช้ฟอร์มาลีน รวมถึงการใช้สารฟอกขาวในเครื่องในสัตว์

“เนื้อสดตามตลาดสดทั่วไป จะสังเกตได้ง่ายทั้งจากกลิ่นและจากการสัมผัสกับเนื้อสัตว์โดยตรง ถ้าลองกดดูเนื้อสัตว์ก็จะพอสังเกตได้ว่า เนื้อนั้นสดจริงหรือไม่ เพราะหากผ่านการแช่ฟอร์มาลีนมา เนื้อสัตว์จะเหลวและมีกลิ่นฉุน นอกจากนี้ ยังสามารถสังเกตความอนามัยของร้านได้ด้วยว่า สะอาดเกินไปหรือไม่ หากที่แผงขายไม่มีแมลงใด ๆ มาก่อกวนเลย ก็มีความเป็นไปได้ว่า เจ้าของร้านใช้สารเคมีบางอย่างในการป้องกันแมลงเหล่านี้ ซึ่งอาจทำให้สารเคมีนั้นปนเปื้อนเพิ่มมาในอาหารได้”

ทั้งนี้ ผู้บริโภคพึงตระหนักไว้ว่า อะไรที่เกินพอดี มีความสุดโต่งทั้งด้านรูปลักษณ์ของตัวอาหารและความสะอาดที่มากเกินไปนั้น ควรระวัง

2. “สำเร็จรูป” ต้องช่างสังเกต

จากรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ปัจจุบัน อาหารแปรรูปและอาหารกึ่งสำเร็จรูป จึงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความสะดวก กินง่าย รสชาติดี และใช้เวลาน้อย หากแต่ “แต่ละคำ” ที่กินเข้าไป สะสมโรคร้ายสู่ร่างกายไม่รู้ตัว

แฮม เบคอน ไส้กรอก และเนื้อสัตว์แปรรูปชนิดต่าง ๆ มักมีความเสี่ยงในการใช้วัตถุกันเสีย ซึ่งหลายครั้งพบว่า มีการใช้วัตถุกันเสียมากเกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ และการที่ได้รับสารกันบูดมากเกินไปนั้น ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานหนัก และอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้

“นอกจากนี้ ยังต้องระวังการใช้โซเดียมหรือเกลือในการแปรรูปไว้ด้วย หากกินบ่อย ๆ ต้องระวังตัวเองว่าจะได้รับสารจำพวกเกลือเข้าสู่ร่างกายมากเกินความต้องการ ทำให้ไตทำงานหนัก” คุณพชร กล่าว

ส่วนการใช้น้ำประสานทอง หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ “สารบอแรกซ์” สารเคมีสังเคราะห์ที่ถูกนำมาผสมในอาหาร เช่น ลูกชิ้น หมูยอ หรืออาหารชุบแป้งทอด ฯลฯ เพื่อให้มีความเหนียว กรุบกรอบ ชวนรับประทานด้วย เพราะแม้ปัจจุบัน จะมีปริมาณการใช้สารบอแรกซ์น้อยลง แต่ก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงอยู่

“ของทอดต่าง ๆ ที่ชอบซื้อกินกันข้างทาง นอกจากจะต้องระวังเรื่องการใช้สารบอแรกซ์ การใช้สารกันบูด และสีผสมอาหารแล้ว ยังต้องดูถึงน้ำมันที่ใช้ทอดด้วย เพราะการใช้น้ำมันทอดซ้ำในปัจจุบัน ไม่ได้ลดน้อยลงกว่าเมื่อก่อนเลย อีกทั้งจะดูจาก “สีของน้ำมัน” ก็ทำไม่ได้แล้ว จึงต้องสังเกตจาก “กลิ่น” ของอาหาร เพราะแม้สีจะดูใหม่ แต่เมื่อนำมาใช้ซ้ำ จะมีกลิ่นหืนค่อนข้างแรง”

3. “เลือกซื้อ” อย่าง “ฉลาด”

แม้ว่าจะมีการใช้สารเคมีกันอยู่มาก จนดูไม่มีความปลอดภัยทางด้านอาหารก็ตามที แต่เมื่ออาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต การวิตกกังวลจึงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น หากไร้ซึ่งความระวังและความตระหนักในตนเอง

นอกเหนือจากข้อมูลด้านบนที่กล่าวไป คุณพชร กล่าวเพิ่มว่า วิธีการในการดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากสารพิษในอาหาร เป็นปัญหาที่แก้ไขได้ด้วยตนเอง ยกตัวอย่างการกินผัก-ผลไม้ ที่ไม่ควรตามใจความอยาก แต่ควรเลือกกินผักและผลไม้ให้ตรงตามฤดูกาล ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อสารเคมีตกค้าง ส่วนอาหารแปรรูปนั้น ขอแค่อ่านฉลากอย่างละเอียด รู้ตัวว่ากำลังจะรับประทานอะไรเข้าไป มีส่วนประกอบของอะไรบ้าง ก็พอจะช่วยได้

หรือหากมีเวลาลองทำอาหารกินเอง ก็เป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่่ยงจากสารพิษปนเปื้อนในอาหารได้ ดังนั้น แค่รู้จักเลือกกินอย่าง ‘”ฉลาด” เรื่องอาหารการกิน ก็ยังเป็นอีกหนึ่งความสุขของชีวิตได้ค่ะ

เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สสส.

Friday, April 19, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


8 วิธีสะกดจิตตัวเอง ให้เลิกกินอาหารขยะ

Posted: 19 Apr 2013 04:47 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอาหารขยะอย่าง แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายส์ พิซซ่า ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็มีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้เรายังอยากรับประทานอาหารประเภทนี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา หน้าตาและกลิ่นที่ชวนให้รับประทาน รวมทั้งความสะดวกรวดเร็วชนิดที่แค่โทรสั่งก็มาส่ง

แต่วันนี้เรามีข้อมูลดี ๆ จาก Reader’s Digest ที่จะมาแนะนำวิธีคิดที่จะช่วยให้คุณลดความอยากและเลิกกินอาหารพวกนี้อย่างเด็ดขาดมาฝากค่ะ

1. คิดถึงส่วนประกอบ

ก่อนตัดสินใจซื้ออาหารรับประทาน ให้คุณคิดถึงส่วนประกอบในอาหารนั้น ๆ ก่อน หากคิดสะระตะแล้วเห็นว่า ไม่มีส่วนประกอบไหนเป็นประโยชน์กับร่างกายเราเลย ก็ตัดสินใจหันหลังให้มัน แล้วเลือกอาหารจานใหม่ดีกว่าค่ะ

2. พยายามกินอาหารให้ครบสามสี

จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยคอร์เนล ในปี 2012 พบว่า มนุษย์เราจะชอบทานอาหารไม่น้อยกว่า 3 ชนิด และ 3 สี ในจานเดียวกัน เพราะฉะนั้น แทนที่คุณจะหยิบลูกอม หรือถั่วชนิดต่าง ๆ มากินเป็นของว่าง ให้คุณเปลี่ยนใจมาเลือกกินผลไม้ หรือดาร์กช็อกโกแลตชิ้นเล็ก ๆ แทน เพื่อให้ร่างกายได้รับคุณค่าทางสารอาหารที่มากกว่า

3. เลิกขี้เกียจ

ถ้าเมื่อก่อนคุณเกิดความรู้สึกขี้เกียจออกไปข้างนอก บวกกับนึกไม่ออกว่าจะกินอะไรดี เลยตัดสินใจโทรสั่งอาหารฟาสต์ฟู้ดมากิน นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้คุณสลัดความขี้เกียจออกจากตัวให้หมดสิ้น แล้วเดินออกไปหาอะไรกินข้างนอก อาหารที่ตั้งขายอยู่มากมาย จะช่วยให้กระตุ้นความอยากอาหาร แถมยังช่วยให้คุณประหยัดเงินไปได้อีกเยอะเลยล่ะ

4. เปลี่ยนเมนูขนมหวาน

ถ้าปกติเคยกินของหวานหลังอาหารเป็นประจำ ลองเปลี่ยนเมนูขนมหวานเป็นผลไม้แทนดีไหมคะ เช่น นำองุ่นแดงไปแช่ช่องแช่แข็ง ทิ้งไว้สักพัก องุ่นแดงจะกลายเป็นไอติมองุ่นที่อร่อยอย่าบอกใครเลยค่ะ ได้ทั้งความอร่อยและประโยชน์อย่างนี้ พลาดไม่ได้แล้วจ้า

5. มีอาหารเพื่อสุขภาพติดบ้านเสมอ

ขนมถุง ๆ ที่เต็มไปด้วยผงชูรสหาซื้อง่าย ราคาถูก และยังเปิดกินสะดวก แค่ฉีกซองก็กินได้เลย เพราะฉะนั้น ปิดโอกาสตัวเองด้วยการอย่าซื้ออาหารพวกนี้มาเก็บไว้ในบ้าน แต่ให้ซื้อผลไม้ เมล็ดทานตะวัน คุกกี้ธัญพืช หรือขนมเพื่อสุขภาพติดไว้ สร้างพฤติกรรมการทานอาหารที่ดีให้กับตัวเองไว้ก่อนดีกว่าค่ะ

6. ตัดใจซะเถอะ

ทุกคนต้องมีขนมโปรดที่เห็นทีไรก็ห้ามใจไม่อยู่ทุกที เพราะฉะนั้นหากคุณรู้ตัวเองดีว่าชอบกินของหวาน หรือมันฝรั่งทอดกรอบ ก็พยายามอยู่ให้ห่างจากของพวกนี้ไว้ดีกว่าค่ะ พอไม่ได้กินสักพัก ร่างกายเราก็จะปรับตัวได้เอง และความอยากก็จะหายไปในที่สุด

7. ตระหนักถึงอันตรายที่จะได้รับ

วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เราตัดใจจากอาหารสำเร็จรูปได้สำเร็จ คือการตระหนักถึงอันตรายที่เราจะได้รับ ทุกครั้งที่เรากินไก่ทอด หรือไส้กรอก ให้คิดเสมอว่าคุณกำลังนำเอาสาร BHA ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเข้าร่างกาย วิธีนี้คงช่วยยับยั้งความอยากของเราได้ไม่มากก็น้อยล่ะค่ะ

8. เคี้ยวให้ช้าลง

อดัม เมโลนาส เชฟชื่อดังและเป็นผู้ก่อตั้งสมาคม UNREAL Candy แนะนำว่า ให้เคี้ยวอาหารช้า ๆ แล้วคุณจะกินได้น้อยลง เทคนิคนี้นำไปใช้ได้ในกรณีที่คุณอดรนทนไม่ไหว จัดอาหารฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารสำเร็จรูปไป (ขอให้เป็นนาน ๆ ทีนะจ๊ะ) เพราะมันจะช่วยลดปริมาณที่คุณจะกินลงได้ครึ่งหนึ่งเลยล่ะ

เรารู้ว่าการห้ามใจมันยาก แต่ถ้าคุณเป็นห่วงสุขภาพตัวเองสักนิด เทคนิคทั้ง 8 ข้อนี้ก็ไม่ยากเกินจะทำหรอก จริงไหมคะ

Thursday, April 18, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


10 ทริคเด็ดควบคุมน้ำหนักช่วงวันหยุด

Posted: 18 Apr 2013 06:05 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ในช่วงวันหยุดนี้หลายคนคงหาร้านอาหาร หรือร้านขนมอร่อย ๆ เตรียมเอาไว้เฉลิมฉลองช่วงเทศกาลส่งท้ายปี หรือเป็นของขวัญสุดพิเศษให้กับตัวเองกันแล้ว ตอนนี้เราอยากจะให้คุณหยุดแผนนั้นเอาไว้สักนิดแล้วทบทวนดูสักหน่อย ก่อนที่อาหารเหล่านั้นจะทำให้คุณเครียด เพราะน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นหลังการฉลอง ถ้าหากคุณไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น ลองอ่านคำแนะนำต่อไปนี้กันก่อนดีกว่า

1. เพิ่มปริมาณโปรตีน

ก่อนทานอาหารชนิดอื่น ๆ ควรรองท้องด้วยอาหารประเภทโปรตีนก่อนเสมอ อย่างเช่น ไข่ไก่ เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ หรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เพราะอาหารเหล่านี้ช่วยให้คุณอิ่มเร็วขึ้น และทานอาหารได้น้อยลง ทั้งนี้ในแต่ละมื้อควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูง อาทิ เฟรนช์ฟรายส์ ขนมหวาน รวมไปถึงเครื่องปรุงเพิ่มรสชาติ เช่น ชีส ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก เป็นต้น

2. เพิ่มจำนวนผักและผลไม้

ควรเพิ่มจำนวนผักให้มากขึ้นในอาหารแต่ละมื้อที่คุณทานเข้าไปด้วย เพราะผักอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างมากมาย ซึ่งนอกจากจะช่วยควบคุมน้ำหนักแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานระบบต่าง ๆ ของร่ายกายอีกด้วย และถ้าหากคุณอยากจะทานของหวาน ควรเปลี่ยนจากขนมต่าง ๆ เป็นผลไม้แทนดีกว่า เพราะความหวานไม่ต่างกันเลย แถมผลไม้ยังมีประโยชน์กับร่างกายมากกว่าด้วยล่ะ

3. ทานอย่างละนิด

ในกรณีที่คุณมีอาหารที่อยากจะกินเต็มไปหมดก็สามารถทานได้ แค่เปลี่ยนวิธีกินให้ถูกต้อง คือ จากการกินอาหารทั้งหมด ปรับเป็นการกินอย่างละนิดอย่างละหน่อยแทน เช่น หากคุณอยากกินเค้ก กินแค่คำสองคำให้ความอยากหายไปก็พอ ส่วนที่เหลือเก็บเอาไว้กินวันอื่น หรือแบ่งให้คนอื่นไปบ้างก็ได้ วิธีนี้นอกจากคุณจะได้กินทุกอย่างตามที่ต้องการแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างดีเลย

4. อย่าลืมอาหารเช้า

อาหารเช้าเป็นมื้อหลักที่คุณไม่ควรลืมอย่างยิ่ง เพราะเป็นมื้อแรกของวันที่ร่างกายสามารถนำมาใช้ได้ นอกจากนี้อาหารเช้ายังช่วยให้คุณทานอาหารมื้ออื่น ๆ ได้น้อยลงอีกด้วย ทั้งนี้อาหารที่คุณเลือกทานควรเป็นอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เพราะเป็นสารอาหารที่ร่างกายสามารถดูดซับได้ง่ายและสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที อย่างเช่น ข้าวโอ๊ต ซีเรียล ขนมปังโฮลวีท เป็นต้น

5. ดื่มน้ำให้มาก ๆ

การดื่มน้ำนอกจากจะช่วยให้ผิวของคุณเปล่งปลั่งสวยงามแล้ว ยังช่วงลดความเสี่ยงของสภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะคนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อีกทั้งยังช่วยลดความอยากอาหารในแต่ละมื้อได้อีกด้วย ดังนั้นก่อนจะไปปาร์ตี้ฉลองกับเพื่อน ๆ หรือคนในครอบครัว ดื่มน้ำรองท้องไปก่อนสักแก้วสองแก้ว ช่วยให้คุณควบคุมความอยากอาหารได้เยอะเลยล่ะ

6. ออกกำลังกาย

หากคุณไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนเลยเพราะไม่มีเวลา วันหยุดนี้เป็นโอกาสที่ดีและเหมาะสมกับการเริ่มต้นออกกำลังกายมาก ๆ ส่วนคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้ว ควรหาเวลาไปออกกำลังกายบ้าง เพราะหากทิ้งระยะไปอาจทำให้คุณขี้เกียจและไม่อยากไปออกกำลังกายอีกเลย ซึ่งการออกกำลังกายในช่วงวันหยุดนี้นอกจากจะทำให้ร่างกายของคุณแข็งแรงขึ้นแล้ว ยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วย

7. จำกัดเครื่องปรุง

อาหารทั่วไปมักจะมีเครื่องเคียงหรือซอสต่าง ๆ มาให้เสมอ อย่างเช่น น้ำสลัด ซอสมะเขือเทศ มายองเนส หรืออื่น ๆ ส่วนขนมหวานก็จะมีท็อปปิ้งหลากสีสันยั่วตายั่วใจให้เพิ่มมากมาย ทั้งนี้คุณไม่ควรหลงใหลและเผลอใจไปกับสิ่งเหล่านั้น เพราะจะทำน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หากคุณต้องการจะเพิ่มรสชาติควรเลือกเครื่องปรุงที่มีไขมันต่ำ หรือน้ำตาลน้อยจะดีกว่า

8. งดขนมและของหวาน

ขนมและของหวานถือเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ทำให้คุณควบคุมน้ำหนักได้ยากขึ้น เพราะฉะนั้นหากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงหรืองดไปเลย สำหรับคนที่ไปปาร์ตี้คงหลีกเลี่ยงได้ยาก ดังนั้นควรทานอาหารรองท้องทุกครั้งก่อนจะไปถึงงาน ช่วยลดความอยากอาหารไปได้มากเลยทีเดียว ทีนี้ไม่ว่าอาหารในงานจะน่ากินแค่ไหนก็ไม่สามารถทำอะไรคุณได้แน่นอน

9. ผสมเครื่องดื่มทานเอง

เครื่องดื่มทั่วไปมักจะเต็มไปด้วยน้ำตาลและไขมัน โดยเฉพาะเครื่องดื่มซอฟต์ดริ๊งก์ และน้ำผลไม้สำเร็จรูป ทางที่ดีคุณควรทำเครื่องดื่มทานเองดีกว่า เพราะคุณสามารถควบคุมส่วนประกอบต่าง ๆ เองได้ อย่างเช่น น้ำผลไม้สด ที่คุณสามารถจำกัดปริมาณน้ำเชื่อมได้เอง จะใส่มากใส่น้อย หรือไม่ใส่เลยก็ได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถเลือกดื่มได้ตามใจ อีกทั้งช่วยประหยัดเงินด้วย

10. นอนหลับให้เพียงพอ

ในช่วงวันหยุดผู้คนส่วนมากมักจะเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมในแต่ละวันจนลืมเวลานอน ซึ่งพฤติกรรมการนอนดึก หรือนอนหลับไม่เพียงพอนี้ทำให้ร่างกายของคุณอ่อนเพลียและรู้สึกหิวมากกว่าปกติ ทำให้อาหารมื้อดึกที่คุณทานเข้าไปนั้นกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกาย ฉะนั้นเพื่อหุ่นสวยสุขภาพดีของคุณ ควรนอนหลับให้เพียงพอดีกว่า

สิ่งที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไม่ได้จำกัดแค่ช่วงวันหยุดหรือเทศกาลเท่านั้น แต่คุณยังสามารถนำไปใช้ช่วงชีวิตประจำวันของคุณได้ด้วย ทั้งในวันทำงาน หรือวันที่มีเรียน ซึ่งประโยชน์ที่คุณจะได้รับไม่ใช่แค่เพียงการมีสุขภาพที่ดีเท่านั้น แต่ยังได้ผิวสวย ๆ หุ่นดี ๆ กลับมาเป็นของขวัญต้อนรับเทศกาลปีใหม่อีกด้วย รู้แบบนี้แล้วอย่าลืมนำไปใช้กันนะคะ

แพทย์ เตือน ใส่คอนแทคเลนส์ไหว้พระ เสี่ยงติดเชื้อจากควันธูป

Posted: 17 Apr 2013 08:04 PM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

จักษุแพทย์แนะควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแทคเลนส์ไปไหว้พระตามสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงปีใหม่ เพราะควันธูปจำนวนมาก อาจะทำให้ดวงตาระคายเคือง และมีโอกาสในติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น

เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ที่ผ่านมา รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะประชาสัมพันธ์ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การไหว้พระในช่วงเทศกาล เช่น ช่วงวันขึ้นปีใหม่ จะมีประชาชนออกมาไหว้พระเป็นจำนวนมาก ทำให้มีการจุดธูปเทียนเยอะ จึงมีโอกาสทำให้ควันธูป หรือเศษธูปสัมผัสดวงตามากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองตา แสบตา หรือคันตาได้ เนื่องจากการเผาไหม้ของธูปจะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ซัลเฟอร์ ซึ่งถือว่าเป็นแก๊สพิษ เมื่อสัมผัสเข้ากับดวงตาจะทำให้เกิดการระคายเคือง และเมื่อผสมกับน้ำตาจะเปลี่ยนสภาพจากน้ำกลายเป็นกรด ทำให้เกิดอาการแสบตา

ควันธูป

นอกจากนี้ ความร้อนจากการเผาไหม้ของธูปจะทำให้มีอากาศไม่เพียงพอ จนเกิดอาการตาแห้ง โดยเฉพาะผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ไปไหว้พระ เพราะคอนแทคเลนส์จะกักน้ำตาเอาไว้ ทำให้ตาแห้งมากขึ้น เมื่อเจอควันธูปก็จะระคายเคืองมากขึ้น เศษธูปซึ่งถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมก็จะมาเกาะติด อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่ตาแห้งอยู่แล้วหรือเคยผ่าตัดดวงตามาก่อน ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เพราะมีโอกาสเกิดความผิดปกติหรือมีปัญหาได้ง่ายกว่า

Wednesday, April 17, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


6 ท่าบริหาร ต้านอาการปวดคอ

Posted: 17 Apr 2013 08:58 AM PDT

ปวดคอ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะบ่อยครั้ง อาการดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องธรรมดา และอาจนำไปสู่โรคร้ายไม่รู้ตัว นพ.ธงชัย ธีระจรรยาภรณ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง คลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา ได้แยกแยะลักษณะอาการของการปวดคอไว้ 3 ข้อใหญ่ๆ ดังนี้

1.ปวดแถวบริเวณรอบคอ อาการนี้มักจะเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อหรือพังผืด หรือจากการทำงานผิดปกติ ผิดท่า การปวดลักษณะนี้มักจะไม่มีอาการร้าวเท่าไหร่

2.ปวดร้าวไปที่หัวไหล่หรือแม้แต่ที่แขน แล้วมีอาการชาที่มือด้วย เกิดจากหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท หรืออาจจะเกิดจากตัวหมอนรองกระดูกเอง หรือเกิดจากความเสื่อมของกระดูกแล้วพอกเป็นหินปูน ควรไปพบแพทย์

3.ปวดคอที่อาจจะร้าวไปถึงกลางหลัง กล้ามเนื้อมืออ่อนแรง เดินลำบาก ขาเกร็งหรืออ่อนแรง และถ้าเกิดมีการกดทับไขสันหลัง อาจจะนำไปสู่การเป็นอัมพาตได้ ดังนั้น ยิ่งต้องไปพบแพทย์

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะปล่อยให้อาการลุกลามบานปลาย เราสามารถป้องกันได้ตั้งแต่ตอนนี้ การใช้ชีวิตก็คือ สาเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งซึ่งทำให้เกิดอาการปวดคอได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มนุษย์ออฟฟิศซินโดรมทั้งหลายที่ต้องนั่งจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ

ฉะนั้น หากใครมีอาการปวดคอ ลองทำท่าบริหารสำหรับต้านอาการปวดคอ ดังนี้ดู

1.ใช้มือประสานเหนือท้ายทอย และดึงก้มคอให้มากที่สุด ท่านจะรู้สึกตึงที่ต้นคอด้านหลัง

2.ใช้มือจับเหนือใบหูและดึงศีรษะไปทางเดียวกับมือ ท่านจะรู้สึกตึงที่ปีกต้นคอด้านตรงข้าม

3.ใช้มือจับหลังใบหูและดึงศีรษะให้ก้มลงมองพื้นทางเดียวกับมือ ท่านจะรู้สึกตึงที่ปีกต้นคอค่อนทางด้านหลังของด้านตรงข้าม

4.ก้มศีรษะ มือวางที่หน้าผาก และเกร็งต้านกัน

5.เอียงศีรษะ มือวางที่ขมับ และเกร็งต้านกัน

6.เงยศีรษะ มือประสานเหนือท้ายทอย และเกร็งต้านกัน

แบ่งเวลาให้กับสิ่งเหล่านี้ทุกวันในชั่วโมงทำงาน เชื่อว่าโรคปวดคอจะไม่มาเยือนคุณแน่นอน

ที่มา : เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์

Monday, April 15, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


นั่งสมาธิง่ายๆ ช่วยลดโรคได้ไม่ยาก

Posted: 15 Apr 2013 02:37 AM PDT

ปัจจุบันการดำเนินชีวิตของคนไทยมีแต่ความเร่งรีบ เกิดความกดดันในชีวิตประจำวันจากปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง สังคม จนเกิดความความเครียดสูง หากไม่สามารถปรับตัวและสภาพจิตใจ ย่อมส่งผลต่อสุขภาพ

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า เนื่องในวันมาฆบูชานี้ ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาหรือวันพระใหญ่ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ขอเชิญชวนประชาชน ใช้ฤกษ์ดีวันมาฆบูชานี้ เป็นวันเริ่มการฝึกทำสมาธิ เนื่องจากการทำสมาธิเป็นการดูแลสุขภาพด้วยวิธีหนึ่ง เป็นเทคนิคของการผ่อนคลายความเครียดที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ใช้แก้ปัญหาได้ดี เพราะเมื่อจิตใจสงบปราศจากความคิดที่ฟุ้งซ่าน ซ้ำซาก จะทำให้เกิดสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ หากทำสมาธิเป็นประจำจะทำให้ระบบทางเดินหายใจ การเผาผลาญพลังงาน ความดันโลหิต และคลื่นสมอง ทำงานเป็นปกติ

สธ.มีนโยบายส่งเสริมให้โรงพยาบาลทุกระดับ ใช้เสียงตามสายประชาสัมพันธ์วิธีการฝึกสมาธิขั้นพื้นฐานง่ายๆ ให้แก่ประชาชนที่มารับบริการทั้งผู้ป่วยและญาติ รู้จักวิธีการทำสมาธิระหว่างรอรับบริการ ซึ่งใช้เวลาไม่มาก ส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม ขณะนี้มีโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนดำเนินการแล้วร้อยละ 65 นอกจากจะช่วยให้จิตใจสงบแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากความเครียด เช่น ไมเกรน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง

การทำสมาธิจะทำให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphine) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ช่วยให้ร่างกายสดชื่นมีภูมิต้านทานโรค จากผลวิจัยทางการแพทย์พบว่า ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีการฝึกทำสมาธิโดยการหายใจช้าและลึก วันละประมาณ 15 นาที ติดต่อกันเป็นเวลา 2 เดือน ค่าความดันโลหิตลดลงมากกว่าผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่ได้เข้ารับการฝึกทำสมาธิ สธ.จึงสนับสนุนให้คนไทยทุกคน หันมาฝึกการทำสมาธิและควรทำต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน เริ่มจากวันละ 5 นาที เพิ่มเป็น 10 นาทีในวันต่อไป และเพิ่มเป็น 15 นาทีตามลำดับ

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

Thursday, April 11, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


ภัยเงียบจากกล่องโฟม… กินสบายแต่ตายเร็ว

Posted: 11 Apr 2013 07:20 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

หลายคนคงเคยชินกับการรับประทานอาหารแบบใส่กล่องโฟมกันใช่ไหมล่ะ เพราะสะดวก รวดเร็ว กินที่ไหนก็ได้ ประหยัดเวลาทำอาหาร และที่สำคัญทานเสร็จก็ไม่ต้องล้างอีกด้วย แต่เพื่อน ๆ เชื่อหรือไม่คะว่า ท่ามกลางความสะดวกสบาย กล่องโฟมก็แฝงไปด้วยภัยร้ายที่อาจคร่าชีวิตคุณได้ในที่สุด

โดย นพ.วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ บริษัทบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ได้ให้ความรู้ว่า กล่องโฟมที่ใช้ตามท้องตลาดทั่วไป (Styrofoam) เป็นของเสียเหลือทิ้งสีดำ ๆ จากกระบวนการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ประกอบด้วยสารสไตรีน (Styrene) มีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในเพศหญิง

อาหารตามสั่งที่บรรจุกล่องโฟม จึงเป็นแหล่งสะสมสารสไตรีน ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ทำให้สมองมึนงง สมองเสื่อมง่ายหงุดหงิดง่าย มีผลทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ และเป็นสารก่อมะเร็งอีก 3 ชนิด ถ้าเป็นผู้ชายรับประทานเข้าไปมาก ๆ มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ขณะที่ผู้หญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม และทั้งสองเพศมีโอกาสสูงต่อการเป็นมะเร็งตับ แม้จะไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำก็ตาม

สำหรับสไตรีน ถือเป็นสารอันตรายที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศขึ้นบัญชีสารก่อมะเร็ง หญิงมีครรภ์ที่รับประทานอาหารบรรจุในกล่องโฟม ลูกมีโอกาสสมองเสื่อมเป็นเอ๋อ อวัยวะบางส่วนพิการ ส่วนคนทั่วไปถ้ารับประทานอาหารกล่องโฟมทุกวัน วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า

กล่องโฟม

ทั้งนี้ ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับสารสไตรีนในกล่องโฟมได้ง่ายถึง 5 ปัจจัยได้แก่

1. อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นหรือเย็นลง ทำให้สไตรีนซึมเข้าสู่อาหารได้สูง

2. ถ้าปรุงอาหารโดยใส่น้ำมัน น้ำส้มสายชูแอลกอฮอล์ จะดูดสารสไตรีนจากกล่องโฟมได้มากกว่าปกติ

3. ถ้าซื้ออาหารใส่กล่องทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ได้รับประทาน อาหารจะดูดสารสไตรีนได้มาก

4. ถ้านำอาหารที่บรรจุโฟมเข้าไมโครเวฟ สไตรีนจะไหลออกมาในปริมาณมาก

5. ถ้าอาหารสัมผัสพื้นที่ผิวกล่องโฟมมาก ๆ รวมถึงร้านไหนตัดถุงพลาสติกใสรองอาหาร ขอบอกว่าได้รับสารก่อมะเร็ง 2 เด้ง ทั้งสไตรีนและไดออกซินจากถุงพลาสติกเลยทีเดียว

นพ.วีรฉัตร กล่าวเตือนด้วยว่า อาหารตามสั่งหรือข้าวราดแกงกับไข่ดาวหรือไข่เจียวร้อน ๆ อาจจะไปละลายผนังกล่องโฟม เสมือนรับประทานอาหารคลุกสไตรีนไปด้วย ถึงกระนั้นไข่ดิบที่วางขายในแผงไข่พลาสติก สารสไตรีนมีโอกาสวิ่งเข้าในเปลือกไข่ได้เช่นกัน ถ้าเลือกไข่ดิบควรเลือกซื้อจากแผงไข่กระดาษจะปลอดภัยที่สุด

Wednesday, April 10, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


ให้โอกาสชีวิต ลองทำเรื่องยากๆบ้าง อย่ามัวแต่กลัวจนไม่ทำอะไร… เพราะชีวิตเราจะไม่ได้อะไรเลย

Posted: 10 Apr 2013 04:00 AM PDT

ให้โอกาสชีวิต ลองทำเรื่องยากๆบ้าง อย่ามัวแต่กลัวจนไม่ทำอะไร... เพราะชีวิตเราจะไม่ได้อะไรเลย

ให้โอกาสชีวิต

ลองทำเรื่องยากๆบ้าง อย่ามัวแต่กลัวจนไม่ทำอะไร… เพราะชีวิตเราจะไม่ได้อะไรเลย

มีงี้ด้วย! โรคอ้วนระบาด เหตุหญิงไม่ออกกำลังกาย เพราะกลัวผมเสียทรง

Posted: 10 Apr 2013 01:53 AM PDT

สาวมะกัน-แอฟริกันเลือกทรงผม ไม่ยอมเสียเหงื่อส่งผลอ้วนกระฉูด (ไทยโพสต์)

นักวิจัยชาวแอฟริกัน 2 ใน 5 คนเผยล่าสุดว่า ผู้หญิงชาวอเมริกันมักหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย เพราะความกังวลเกี่ยวกับทรงผม หรือกลัวว่าผมของพวกเธอนั้นจะเสียทรง ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวได้กลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โรคอ้วนกำลังระบาดในคุณสาว ๆ เมืองมะกัน

ดร.เอ็มมี แมคไมเคิล นักวิจัยอาวุโสและแพทย์ผิวหนังจากโรงเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัย Wake Forest ที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐแคโรไลนา กล่าวว่า “ไม่ใช่แค่ผู้หญิงแอฟริกันเท่านั้น แต่ผู้หญิงในอเมริกาก็ประสบกับปัญหานี้เช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณสาว ๆ ทั้งสองสัญชาตินี้เบื่อหน่ายกับการที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลเส้นผมหรือจัดทรงผมของพวกเธอ รวมถึงเหงื่อที่ถูกขับออกจากร่างกายในระหว่างที่พวกเธอออกกำลังกาย ก็ถือเป็นอีกสาเหตุที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพของประชากรในเมืองที่สุดแสนวิไลนี้”

ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังกล่าวต่อว่า “จากผลสำรวจทั้งผู้หญิงชาวอเมริกาและผู้หญิงชาวแอฟริกัน ในจำนวน 103 คนที่เข้ามารับบริการจากคลินิกในมหาวิทยาลัย Wake Forest ในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2007 พบว่า “มีผู้หญิงมากกว่าครึ่งออกกำลังกายน้อยกว่า 75 นาทีต่อสัปดาห์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน ที่ทางกรมอนามัยและบริหารทรัพยากรมนุษย์ได้กำหนดไว้ เพราะอย่างน้อยต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ละ 150 นาที”

นั่นเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาออกกำลังกายลดน้อยลง ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้หรือในปี 2007 ที่ทางศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคได้สำรวจพบว่า ผู้หญิงชาวอเมริกันออกกำลังมากกว่า 150 นาทีต่อสัปดาห์ และจากการศึกษาใหม่ที่น่าตกใจนั้นได้พบว่า ผู้หญิงชาวอเมริกัน 1 ใน 4 ไม่คิดที่จะออกกำลังกาย และไม่ใช่แค่สาเหตุหลัก อย่างเช่น การเสียเวลา หรือเสียค่าใช้จ่ายจำนวนสูงในการจัดแต่งทรงผม แต่การที่พวกเธอปฏิเสธการอัพแอนด์ดาวน์นั้นเป็นเพราะ “เหงื่อ” จากการออกกำลังกายที่ทำให้ผมของพวกเธอเสียทรงนั่นเอง

สอดคล้องกับเช่นเดียวกับโรเชล มอสลีย์ เจ้าของร้านเสริมสวยที่ตั้งอยู่ในเขตฮาร์เล็มในเมืองนิวยอร์ก ที่ได้เผยผ่านสำนักข่าวรอยเตอร์ เกี่ยวกับสุขภาพของคุณสาว ๆ ชาวอเมริกันและแอฟริกันว่า “โดยปกติลูกค้าจะมาใช้บริการที่ร้านเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อรับบริการยืดผม ในราคา 40 เหรียญฯ ทั้งนี้เนื่องจากลูกค้าไม่ต้องการที่จะล้างหรือสระผมเกินอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพราะกังวลเรื่องทรงผมของพวกเธอจะเสียทรงโดยใช่เหตุ ขณะเดียวกันพวกเธอก็มักจะหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่นำไปสู่การเสียเหงื่อ ซึ่งหลายคนก็อาจสงสัยว่าทำไมคุณสาว ๆ เหล่านี้ไม่เลือกดูแลสุขภาพเส้นผมโดยการตัดผมให้สั้นลง”

อย่างไรก็ตาม แม้คุณสาว ๆ หลายคนมักจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่กล้าออกกำลังกายเพราะกลัวผมเสียทรง โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ที่เคยระบุไว้ว่าอย่างน้อยต้อง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่มีข้อยกเว้นในกรณีที่ทำให้พวกเธอออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องพะวงว่าผมจะเสียทรง เช่น เกิดปัญหาสุขภาพกับหนังศีรษะ หรือมีอาการคันจากรังแค และหน้าที่การงานที่ทำให้พวกเลือกที่จะต้องตัดผมหรือทำผมบ่อย ๆ อยู่แล้ว”

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ไทยโพสต์

โชคชะตา มีรางวัลให้คนขยันและพยายามเสมอ แค่อย่าทอดทิ้งความอดทน

Posted: 09 Apr 2013 09:21 PM PDT

โชคชะตา มีรางวัลให้คนขยันและพยายามเสมอ แค่อย่าทอดทิ้งความอดทนโชคชะตา

มีรางวัลให้คนขยันและพยายามเสมอ

แค่อย่าทอดทิ้งความอดทน

ถนนชีวิตอาจมีเส้นทางยาวไกล เราต้องเดินบ้าง วิ่งบ้าง นั่งพักบ้าง อย่าวิ่งจนหกล้ม และอย่าเดินช้าจนเกินไป ทุกอย่างต้องมีความพอดีเสมอ

Posted: 09 Apr 2013 05:00 PM PDT

ถนนชีวิตอาจมีเส้นทางยาวไกล เราต้องเดินบ้าง วิ่งบ้าง นั่งพักบ้าง อย่าวิ่งจนหกล้ม และอย่าเดินช้าจนเกินไป ทุกอย่างต้องมีความพอดีเสมอ

ถนนชีวิตอาจมีเส้นทางยาวไกล

เราต้องเดินบ้าง วิ่งบ้าง นั่งพักบ้าง

อย่าวิ่งจนหกล้ม และอย่าเดินช้าจนเกินไป

ทุกอย่างต้องมีความพอดีเสมอ

Tuesday, April 9, 2013

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา

TrueStar Health : Vitamin TrueStar วิตามินอันดับ 1 จากอเมริกา


ผู้สูงอายุใช้แอสไพริน เสี่ยงเกิดโรคที่ทำให้ตาบอด 2 เท่า

Posted: 09 Apr 2013 01:49 AM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

นักวิจัยชาวออสเตรเลียเผย การใช้ยาแอสไพรินในผู้ป่วยสูงอายุ เพิ่มความเสี่ยงเกิดโรคที่ทำให้ตาบอดอีกเป็นเท่าตัว ด้านผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ชี้ การค้นพบดังกล่าวยังขาดหลักฐาน สนับสนุนให้เปลี่ยนแนวทางการรักษาคนไข้ได้

เป็นที่ทราบกันดีว่าการใช้ยาต่าง ๆ นั้นอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายได้ อย่างเช่นเรื่องราวที่เว็บไซต์เดลิเมล ของอังกฤษ รายงานว่า ดร. เจอราลด์ ลีว์ จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ในออสเตรเลีย ได้ออกมาเผยว่าการใช้ยาแอสไพรินในกลุ่มผู้สูงอายุนั้น จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคตาซึ่งนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นเป็นอีกเท่าตัว

โดยจากการศึกษาล่าสุดได้พบว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ยาแอสไพรินกับโรคจอประสาทตาเสื่อม (Age related macular degeneration : AMD) ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยสุดของการสูญเสียการมองเห็นในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม การค้นพบดังกล่าวยังขาดหลักฐานที่เพียงพอมาสนับสนุนการแนะนำให้ผู้ป่วยหยุดใช้ยาแอสไพรินในการรักษา เว้นแต่ผู้ป่วยจะมีปัจจัยเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD) หรือในผู้ที่อาจจะเกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่สูงขึ้นจากการใช้ยาแอสไพรินรักษาในระยะยาว

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ อย่าง ดร.แซนเจย์ คอล และ ดร.จอร์จ ไดมอนด์ จากศูนย์การแพทย์ซีดาร์สไซไน แห่งลอสแอนเจลิส ได้แสดงความคิดเห็นว่า ยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมก่อนที่ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำให้เปลี่ยนแนวทางการรักษา เพราะจากมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งวิจัยยาเพียงอย่างเดียวนั้น ยังขาดหลักฐานที่หนักแน่นพอที่จะเปลี่ยนแปลงการรักษาในชั้นคลินิก

ด้านศาสตราจารย์ ยิท หยาง จากราชวิทยาลัยจักษุแพทย์ ได้กล่าวว่า “การวิจัยนี้บอกว่าผู้ป่วยที่มีแนวโน้มจะพัฒนาไปสู่การเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียกนั้นส่วนมากจะเป็นผู้ป่วยที่ใช้ยาแอสไพรินจากปัญหาด้านสุขภาพอื่น ๆ ซึ่งในกลุ่มผู้ที่ใช้และไม่ใช้แอสไพรินนั้นมีความแตกต่างกันในแง่ของความเสี่ยงอื่น ๆ ที่จะทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมเปียก เช่น ความดันโลหิต สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด หรือแม้กระทั่งประวัติครอบครัว”

นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ยิท หยาง ยังเสริมอีกว่า นี่เป็นสัญญาณเล็ก ๆ ที่ชี้ว่าอาจจะมีความเชื่อมโยงที่เป็นสาเหตุโดยตรงของโรค แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะยืนยันเรื่องนี้ในปัจจุบัน แม้ว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่จะละเลยไปไม่ได้สำหรับสัญญาณที่บ่งชี้ว่าจะเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายจากการใช้ยาก็ตาม เพราะในขณะนี้มันยังไม่มีหลักฐานที่เพียงพอจากการศึกษาวิจัยที่จะแสดงให้เห็นว่าควรแนะนำผู้ป่วยให้หยุดการใช้ยาแอสไพริน

ทั้งนี้ โรคจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก(Wet AMD) มีสาเหตุมาจากจากรั่วซึมของเลือดและของเหลวจากเส้นเลือดภายในดวงตา ทำให้เกิดความผิดปกติที่จุดกลางรับภาพของจอประสาทตา ซึ่งจะนำไปสูการสูญเสียการมองเห็น ส่วนโรคจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง (Dry AMD) นั้นจะพบได้มากกว่าและมีผลรุนแรงน้อยกว่า แต่ผู้ป่วยก็ยังคงต้องทรมานกับความบกพร่องด้านการมองเห็น ปัจจุบันพบว่ามีชาวอังกฤษราว 200,000 คนต่อปี ที่ต้องทรมานด้วยโรคจอประสาทตาเสื่อมที่ไม่สามารถทำการรักษาหรือป้องกันล่วงหน้าได้ แม้ว่าการผ่าตัดด้วยเลเซอร์และยาจะสามารถควบคุมความเสียหายที่เกิดจากโรคได้ก็ตาม

จากรายงานของนิตยสารด้านการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ได้มีการเทียบอัตราของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ในผู้ป่วยมากกว่า 2,000 ราย จากกลุ่มผู้ที่ใช้ยาแอสไพรินทั้งแบบปกติและไม่ปกติ ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มผู้ที่ใช้ยาปกตินั้นจะถูกกำหนดให้ที่ใช้ยาแอสไพรินเพียงอาทิตย์ละ 1 ครั้ง หรือมากกว่านั้น ซึ่งพบว่าในกลุ่มผู้ใช้ยาไม่ปกติ จะมีอัตราการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียกเพิ่มขึ้น จาก 0.8% ใน 5 ปี เป็น 1.6% ใน 10 ปี และกระโดดขึ้นไปเป็น 3.7% ใน 15 ปี

อย่างไรก็ตาม ในทุกวันนี้มีผู้ป่วยโรคหัวใจนับล้าน ที่ใช้ยาแอสไพรินในปริมาณต่ำทุกวันตามใบสั่งแพทย์ เพื่อป้องกันโรคหัวใจวายและโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน ขณะที่คนอื่น ๆ ซึ่งยังไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้น จะนิยมใช้ยาแอสไพริน เพื่อเป็นหลักประกันสุขภาพของพวกเขาเอง

เตือนระวัง…ครีมเทียม กินมาก อันตรายกว่าที่คิด!

Posted: 08 Apr 2013 10:58 PM PDT

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

สำหรับใครหลาย ๆ คน “กาแฟ” อาจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่จะต้องดื่มทุกวัน วันละหลาย ๆ แก้ว ดื่มแล้วหูตาสว่าง สดชื่น กระปรี้กระเปร่า ซึ่งรสชาติที่แต่ละคนชื่นชอบก็จะแตกต่างกันออกไป บ้างก็ชอบใส่น้ำตาลให้หวาน ๆ บ้างก็ชอบใส่ครีมเทียม เพิ่มความเข้มข้น หอม มัน แล้วเพื่อน ๆ ทราบหรือไม่ว่า ครีมเทียมนั้นมีอันตรายต่อร่างกายมากกว่าที่คุณคิด!

ครีมเทียมเป็นไขมันชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า ไขมันทรานส์ (trans fat) ซึ่งได้จากการนำไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลืองมาอัดไฮโดรเจนเข้าไปเพื่อทำให้มันแข็งเป็นไข จะได้ทำเป็นผงได้ แล้วเอามาทำอาหารอุตสาหกรรม เช่น เค้ก คุกกี้ ขนมกรุบกรอบ ครีมเทียม เนยเทียม บางทีคนจึงเรียกง่าย ๆ ว่า ไขมันผง หรือไขมันแข็ง (solid fat)

ส่วนครีมเทียมที่มีจำหน่ายประมาณครึ่งหนึ่งเป็นน้ำตาล อีกครึ่งหนึ่งเป็นไขมันเติมไฮโดรเจนไปบางส่วน ทำให้ไขมันบางส่วนแปรไปเป็นไขมันทรานส์ ดังนั้น การบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันทรานส์มาก ๆ จะเป็นการเพิ่มระดับ LDL (Low Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือด และลดระดับ HDL (High Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือด และเนื่องจากไขมันทรานส์เป็นไขมันที่เกิดจากการแปรรูป ซึ่งย่อยสลายได้ยากกว่าไขมันชนิดอื่น ทำให้ตับต้องสลายไขมันทรานส์ด้วยวิธีการที่แตกต่างไปจากการย่อยสลายไขมันตัวอื่น จึงอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ผิดปกติกับร่างกาย คือ
1. น้ำหนักและไขมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้น
2. มีภาวะการทำงานของตับที่ผิดปกติ
3. มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด

นอกจากนี้ พิษภัยของไขมันทรานส์ได้รับการพิสูจน์โดยงานวิจัยของฮาร์วาร์ดซึ่งติดตามผลสำรวจของประชาชนราวแปดหมื่นกว่าคนเป็นเวลานานถึง 12 ปี โดยจำแนกออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามชนิดของที่มาของพลังงานที่ได้เพิ่มเข้ามาระหว่างการวิจัย แล้วเปรียบเทียบกันว่าการบริโภคแหล่งพลังงานแบบไหนจะเป็นโรคหัวใจหลอดเลือดมากกว่ากันโดยใช้กลุ่มที่ได้พลังงานเพิ่มมาจากคาร์โบไฮเดรตเป็นตัวตั้ง

งานวิจัยนี้พบว่า พวกที่ได้พลังงานจากไขมันทรานส์ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าพวกที่ได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตถึง 93% ส่วนพวกที่ได้พลังงานจากไขมันอิ่มตัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าพวกที่ได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต 17% และพวกที่ได้พลังงานเพิ่มมาจากไขมันไม่อิ่มตัวนั้นเป็นโรคน้อยกว่าพวกที่ได้พลังงานเพิ่มจากคาร์โบไฮเดรต งานวิจัยนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าไขมันทรานส์ชั่วร้ายที่สุด ร้ายกว่าไขมันอิ่มตัวเช่นน้ำมันหมูตั้งเยอะ

สมัยนี้ดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะทานอะไรก็อันตรายไปเสียหมด เห็นทีเพื่อน ๆ คงต้องรู้จักระมัดระวังในการเลือกรับประทานสิ่งต่าง ๆ และหันมาดูแลสุขภาพกันให้มากขึ้นนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

visitdrsant.blogspot.com , th.answers.yahoo.com

Saturday, April 6, 2013

TrueTHERMO ทรูเทอร์โม (เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมัน) วิตามินคุณภาพสูงสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพอัตราการเผาผลาญไขมันออกจากร่างกายช่วยให้รูปร่างของคุณเพรียวกระชับทุกสัดส่วน

TrueTHERMO ทรูเทอร์โม (เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมัน) วิตามินคุณภาพสูง สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพอัตราการเผาผลาญไขมันออกจากร่างกาย ช่วยให้รูปร่างของคุณเพรียวกระชับทุกสัดส่วน

TrueTHERMO

TrueTHERMO ทรูเทอร์โม (เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมัน) วิตามินคุณภาพสูง สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพอัตราการเผาผลาญไขมันออกจากร่างกาย ช่วยให้รูปร่างของคุณเพรียวกระชับทุกสัดส่วน เป็นสูตรที่มีส่วนผสมที่เหมาะสาหรับบุคคลที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของการทางานและการออกกาลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี อีกทั้งเพิ่มระดับการเผาผลาญไขมันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดน้าหนัก

คุณประโยชน์ TrueTHERMO

  • ช่วยลดการเปลี่ยนแปลงของพลังงานส่วนเกิน ช่วยลดไขมันในร่างกาย

  • เพิ่มพลังงานก่อนการออกกาลังกายและประสิทธิภาพการออกกาลังกาย

  • ช่วยเพิ่มระดับพลังงาน เพิ่มความแข็งแรงและความอดทน

  • อัตราการเผาผลาญเพิ่มขึ้น ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน

ส่วนผสมที่สำคัญ TrueTHERMO

  • guarana และ yerba ซึ่งมีคาเฟอีนที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญและประสิทธิภาพการออกกาลังกาย

  • กรดไฮดรอกซีเพื่อความสมดุลในการสังเคราะห์ไขมันและการสังเคราะห์น้าตาลกลูโคสในตับ

  • Coleus Forskohlii เพื่อเพิ่มการสลายไขมันในเนื้อเยื่อไขมัน

  • L-Tyrosine เพื่อสนับสนุนการทางานของต่อมไทรอยด์

  • ชาเขียว สารต้านอนุมูลอิสระที่เพิ่มการเผาผลาญในร่างกาย

  • theobromine ช่วยเสริมสุขภาพของหัวใจ
TrueTHERMO ทรูเทอร์โม (เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมัน) วิตามินคุณภาพสูง สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพอัตราการเผาผลาญไขมันออกจากร่างกาย ช่วยให้รูปร่างของคุณเพรียวกระชับทุกสัดส่วน
TrueTHERMO : ราคา 1,700 บาท

1 กระปุก = 60 เม็ด

TrueSTRESS Support ทรูสเตรส (ลดความเครียดและความวิตกกังวล เพิ่มฮอร์โมนชะลอวัย)วิตามินคุณภาพสูงสำหรับลดความเครียดและความวิตกกังวล ช่วยเพิ่มฮอร์โมนชะลอวัยต้านริ้วรอยแห่งกาลเวลา คงคสามอ่อนวัยแห่งผิว

TrueSTRESS Support ทรูสเตรส (ลดความเครียดและความวิตกกังวล เพิ่มฮอร์โมนชะลอวัย) วิตามินคุณภาพสูงสำหรับลดความเครียดและความวิตกกังวล ช่วยเพิ่มฮอร์โมนชะลอวัย ต้านริ้วรอยแห่งกาลเวลา คงคสามอ่อนวัยแห่งผิว

TrueSTRESS Support

TrueSTRESS Support ทรูสเตรส (ลดความเครียดและความวิตกกังวล เพิ่มฮอร์โมนชะลอวัย) วิตามินคุณภาพสูงสำหรับลดความเครียดและความวิตกกังวล ช่วยเพิ่มฮอร์โมนชะลอวัย ต้านริ้วรอยแห่งกาลเวลา คงคสามอ่อนวัยแห่งผิว มีการผสมผสานของสารอาหารที่เป็นเอกลักษณ์จากสมุนไพร TrueSTRESS ได้รับการออกแบบมาเฉพาะเพื่อช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล ทาง TrueStar อยู่ในระหว่างการจดทะเบียนลิขสิทธิ์ 2 ประเภทจาก TrueSTRESS

คุณประโยชน์ TrueSTRESS Support

  • ดูแลร่างกายในช่วงเวลาของความเครียดและความวิตกกังวล

  • ช่วยให้ระบบเผาผลาญอาหารทางานอย่างเหมาะสม

  • ช่วยลดอาการรับประทานอาหารมากเกินอันเนื่องมาจากความเครียด

  • ลดไขมันบริเวณหน้าท้อง

  • ช่วยให้ร่างกายและจิตใจมีความสงบมากขึ้น

  • ลดอาการร้อนวูบวาบของสตรีที่ประจาเดือนใกล้จะหมด

  • ช่วยลดอาการที่เกิดขึ้นและเกี่ยวพันกับความเครียด (อาทิเช่น ความต้องการทางเพศที่ลดลง สูญเสียความจา, นอนหลับไม่เพียงพอและอ่อนเพลียจากความเครียด)

  • เพิ่ม DHEA (ฮอร์โมนต่อต้านริ้วรอย)

ส่วนผสมที่สำคัญ TrueSTRESS Support

  • วิตามินบีโครงสร้างแบบซับซ้อนเพื่อเพิ่มความสามารถในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน สนับสนุนระบบการทางานของระบบประสาท

  • Relora ® (อยู่ในระหว่างการจดสิทธิบัตร) เพื่อช่วยร่างกายต่อต้านความเครียดและช่วยควบคุมระดับคอร์ติซอล
TrueSTRESS Support ทรูสเตรส (ลดความเครียดและความวิตกกังวล เพิ่มฮอร์โมนชะลอวัย) วิตามินคุณภาพสูงสำหรับลดความเครียดและความวิตกกังวล ช่วยเพิ่มฮอร์โมนชะลอวัย ต้านริ้วรอยแห่งกาลเวลา คงคสามอ่อนวัยแห่งผิว
TrueSTRESS Support : ราคา 1,700 บาท

1 กระปุก = 60 เม็ด